วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ท่าทางในการกลบเกลื่อน



ไขว่ห้างแบบธรรมดา

การไขว่ห้างแบบทั่ว ๆ ไป จะยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว้ทับขาอีกข้างหนึ่ง ส่วนมากจะเป็นขวาทับว้าย เรามักจะใช้ท่าไขว่ห้างเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้เราถอนตัวออกมาจากวงสนทนาแล้ว และถูกใช้เป็นท่าเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสามีและเพื่อนชาย

ไขว่ห้างแบบเลขสี่ธรรมดา

มักจะเกิดกับคนที่ชอบแข่งขัน และใช้ท่านี้เพื่อตอบโต้การแข่งขัน ส่วนท่าไขว้ห้างเลขสี่แบบบล้อก มักจะเกิดกับคนที่มีบุคลิกแข็งกร้าว ชอบทะเลาะวิวาทและโต้แย้ง โดยจะใช้มือข้างใดข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นมาจับขาข้างที่พาดขึ้นมาเอาไว้ ซึ่งแสดงถึงความดึงดื้อ ใจแข็ง และพร้อมที่จะทำร้ายคนที่ต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับเขาตลอดเวลา

ท่ายืนไขว่ห้าง

เรามักจะยืนไขว้ขาก็ต่อเมื่อเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่รู้จักหรือคนแปลกหน้า แต่เราจะไม่กอดอก สามารถยืนอยู่ในท่าสบาย ๆ ก้าวเท้ามาข้างหน้า และชี้ปลายเท้าไปยังฝ่ายตรงข้าม เมื่อได้ยืนพูดคุยกับคนที่รู้จักหรือสนิทสนมคุ้นเคย แต่ถ้ายืนพูดคุยกับคนอื่นในท่าสบาย ๆ มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแต่กอดอกไม่ได้หมายความว่าเรารู้สึกผ่อนคลายหรือสบายใจเหมือนที่แสดงออกทางสีหน้าเลย

ท่ายืนไขว้ข้อมือ

การยืนและไขว้ข้อมือ เป็นการแสดงท่าทางในเชิงลบและเป็นการป้องกันตัวเช่นเดียวกับการไขว้ขา กอดอก ผู้ชายมักจะไขว้ข้อเท้า และกำหมัดวางหรือเท้าไปที่หัวเขา ส่วนผู้หญิงจะนั่งเข่าชิด เท้าหันไปทางใดทางหนึ่ง มือวางไว้บนต้นขา เมื่อคนเรารู้สึกกดดันหรือวิตกกังวลกับบางสิ่งบางอย่าง มักจะนั่งไขว้ห้างและกัดริมฝีปาก

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ท่ากึ่งกอดอก มนุษย์คือสัตว์สังคม ดังนั้น ...

มนุษย์คือสัตว์สังคม ดังนั้นพฤติกรรมของตัวเองจะต้องไม่ขัดต่อสังคมหรือฝืนกระแสสังคม เช่นเดียวกันเมื่อเราแสดงความรู้สึกออกมาด้วยการกอดอก จะดูเป็นที่สังเกตมากเกินไป เพราะมันจะบอกกับฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สนทนาว่า เขากำลังกลัว จึงเลือกที่จะใช้ท่าทางที่สามารถปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงได้บ้าง เพื่อป้องกันการถูกคุกคามจากภายนอก ซึ่งเรามักจะใช้แขนข้างหนึ่งพาดมาจับ หรือแตะแขนอีกข้างหรือการกุมมือ แต่การกุมมือมักจะใช้ต่อเมื่อต้องอยู่หน้าผู้คนจำนวนมากเพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับตัวเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ท่ากอดอกแบบกำหมัด ท่ากอดอกแบบเกาะแขน

ท่ากอดอกแบบกำหมัด
เป็นการกอดพร้อมกำหมัดไว้ใต้แขนเป็นการแสดงถึงการป้องกันตัว การเตรียมพร้อมและเป็นศัตรู และมักจะมีการกัดฟัน หน้าแดง เมื่อถูกคุกคามทั้งทางด้านคำพูดและร่างกาย คนที่กอดแล้วกำหมัดมักจะมีท่าทางพร้อมจะจู่โจม

ท่ากอดอกแบบเกาะแขน
การกอดแบบนี้จะสังเกตได้ว่ามือทั้งสองข้างจะเกาะอยู่ที่ต้นแขนอย่างเหนียวแน่นเพื่อให้ดูแข็งเกร่งขึ้น เรามักจะกอดแบบนี้เมื่ออยู่ในสถานะการณ์ที่พยายามอดกลั้นต่อความรู้สึกในเชิงลบ คนที่อยู่ในสถานการณ์ที่พยายามอดกลั้นต่อความรุ้สึกในเชิงลบ คนที่อยู่ในสถานะการณ์ที่เป็นต่อหรือเหนือกว่าจะไม่ค่อยใช้การกอดอก เนื่องจากเขาจะไม่รู้สึกกดดัน กังวลกับความเสียเปรียบ เขาจะอยู่ในสภาพทีมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความมั่นใจมากขึ้น

ท่ากอดอกมาตราฐาน จะเป็นท่ากอดอกโดยพับแขนทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเสมอกับระดับหน้าอก



จะเป็นท่ากอดอกโดยพับแขนทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเสมอกับระดับหน้าอก โดยทั่วไปเป็นการแสดงถึงกิริยาการป้องกันตัวและมีความคิดในแง่ลบ และมักจะเป็นท่าที่พบได้บ่อยในสถานะการณ์ประชุมหรือต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า การเข้าแถวคอยชื้อของ ขึ้นลิฟต์ ฝากเงิน หรือสถานะการณ์ที่รู้สึกไม่แน่ใจในความปลอดภัย

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ท่ากอดอก มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดที่ดีเยียม




มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดที่ดีเยียม ทุกครั้งที่มนุษย์รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามจากสิ่งที่ไม่อาจวางใจได้ จะหาทางป้องกันตัวเองจากอันตรายดังกล่าวโดยทันที การป้องกันตัวเองจากอันตรายที่มนุษย์ทำกันมากที่สุดคือ การหาที่ซ่อนตัว ซึ่งสัญชาตญาณการเอาตัวรอดนี้เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับมนุษย์ และค่อย ๆ เติบโตขึ้นไปพร้อมกับการเติบโตของมนุษย์

สำหรับเด็ก ๆ เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงในจิตใจ หวาดกลัว พวกเขาจะวิ่งไปหาที่ซ่อน หลบซ่อนอยู่ด้านหลังสิ่งที่เขาคิดว่าสามารถคุ้มครองชีวิตเขาได้ เช่น พ่อแม่ โต๊ะ เก้าอี้ตัวใหญ่ ๆ

แต่เมื่อเริ่มเติบโตขึ้น การซ่อนตัวก็จะมีความกลมกลืนแนบเนียนมากขึ้น เริ่มที่จะกอดอกไว้แน่น เวลาที่เกิดความกลัวขึ้นมา และเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น การป้องกันตัวเองที่ยังคงมีอยู่ก็คือการกอดอก แต่จะคลายแขนออกเล็กน้อยพร้อมไขว้ขา

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ท่ากอดอกก็จะถูกพัฒนาขึ้นไปเป็นการงอแขนข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างไว้ที่อก ก็สามารถทำให้เกิดเกราะกำบังปิดกั้นการคุกคามไม่ให้เข้ามาถึงตัวได้ แต่จะกอดแน่นเมื่อเขารู้สึกประหม่า กังวล หรือรุ้สึกไม่พอใจ หลายคนกล่าวว่าการกอดอกทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สนทนาอาจรู้สึกไม่ดีกับการกอดอกได้

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ท่าเจดีย์คว่ำ เจดีย์ตั้ง โดยปกติแล้วคนที่มีความเชื่อมั่น

ท่าเจดีย์คว่ำ เจดีย์ตั้ง โดยปกติแล้วคนที่มีความเชื่อมั่นและมีความรู้สึกเหนือกว่า มักจะใช้ท่านี้ เพื่อแสดงความเชื่อมั่น ท่าเจดีย์ตั้งมักจะเกิดขึ้นขณะที่มีการพูดแสดงความคิดเห็นหรือทัศนคติ ส่วนเจดีย์จะปรากฏก็ต่อเมื่อผู้ทำท่านี้อยู่ในฐานะผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และมักจะใช้ท่าทางที่ให้ความรู้สึกเชิงลบติดออกมาด้วย เช่น กอดอก ไขว้ขา จับใบหน้า

ท่าจับมือ แขน ข้อมือ การเดินเอามือกุมไว้ข้างหลัง เป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นความเป็นต่อและเชื่อมั่น เพราะในขณะที่เอามือไพล่หลังร่างกายบริเวณส่วนหน้า เช่น ท้อง หัวใจ และคอ จะถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่รู้สึกหวั่นเกรงสิ่งใด ๆ เลย คนเรามักชอบที่จะยืนในท่านี้เมื่อตกอยู่ในสถานะการที่กดดัน ตึงเครียด เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายลง กลับมามีความเชื่อมั่น และรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจอีกครั้ง แต่ถ้าเลื่อนข้อมือขึ้นไปจับบริเวณข้อมือ จะแสดงถึงความพยายามอดทนและควบคุมตนเองด้วยการจับหรือบีบข้อมืออีกข้างไว้แน่น และยิ่งเลื่อนมือสูงขึ้นไปมากเท่าไร ก็แสดงว่าคนคนนั้นเริ่มโกรธมากขึ้น

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ท่าถูฝ่ามือ การถูฝ่ามือไปมา เป็นวิธีแสดงถึงความ ...



ท่าถูฝ่ามือ การถูฝ่ามือไปมา เป็นวิธีแสดงถึงความคาดหวังในสิ่งดี ๆ ความเร็วในการถูก็มีความหมายเช่นเดียวกัน ถ้าถูฝ่ามือด้วยความเร็วแสดงว่าคนคนนั้นกำลังคาดหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้รับสิ่งดี ๆ ที่คาดหวังไว้ แต่ถ้าถูฝ่ามือไปอย่างช้า ๆ ความคาดหมายจะเปลี่ยนไป เขาจะเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม และรู้สึกว่าเขาพูดอ้อมค้อมและได้กลิ่นของผลประโยชน์ที่เขาคาดหวังให้ตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้าม แต่บางครั้งการที่เราถูกมือไปมา อาจหมายความว่าเขากำลังหนาว จึงถูกมือและนิ้วเพื่อให้เกิดความอบอุ่น นอกจากจะชอบถูกมือแล้ว คนเรายังชอบถูนิ้วหัวแม่มือและนิ้ว ซึ่งแสดงถึงความคาดหวังเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

ท่านิ้วหัวแม่มือ โดยธรรมชาติแล้ว นิ้วหัวมือมือจะเป็นนิ้วที่แสดงถึง ...




ท่านิ้วหัวแม่มือ โดยธรรมชาติแล้ว นิ้วหัวมือมือจะเป็นนิ้วที่แสดงถึงพลังอำนาจและความเป็นตัวของตัวเอง ความมีอำนาจเหนือผู้อื่น ก้าวร้าว และมักใช้สนับสนุนท่านทางอื่น ๆ เช่น ท่าซุกมือในกระเป๋ากางเกงและยื่นหัวแม่มือออกมา แสดงถึงความลับ สิ่งที่ปกปิดเอาไว้ เรื่องลับลมคมใน หรือพยายามซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ภายใน หรือท่ากอดอกโดยให้นิ้วหัวแม่มือชี้ขึ้น ซึ่งมี 2 ความหมายด้วยกันคือ เป็นการป้องกันตัว กับแสดงความเหนือกว่า เป็นต่อ และมักจะยืนโคลงตัวบนปุ่มนิ้วหัวแม่เท้า นอกจากนั้นนิ้วหัวแม่มือยังเป็นสัญลักษณ์แทนการล้อเลียน ไม่นับถือ เช่น สามีมักใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ไปทางภรรยาของตัวเองเมื่อกล่าวถึงเธอ

ท่าลูบคาง การลูบคางเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินใจ



ผู้ฟังกำลังตัดสินใจในสิ่งที่เขาได้ฟัง ซึ่งในระหว่างที่กำลังมีการตัดสินใจอยู่ ไม่ควรเข้าไปขัดจังหวะ ถ้ามีการลูบคางไปพร้อม ๆ กับกอดอก นั่งไขว่ห้าง หลังพิงเก้าอี้ แสดงว่าเขาตัดสินใจไปในแง่ลบ ถ้าลูกคางและนั่งในท่าเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น แสดงว่าการตัดสินใจของเขาเป็นบวกแน่นอน นอกจากท่าลูบคางแล้ว คนที่สวมแว่นตาจะใช้ประเมินการตัดสินใจด้วย ปากกา นิ้วมือ เมื่อถูกถามถึงการตัดสินใจ แสดงว่าเขาไม่มั่นใจ และต้องการความมั่นคงมากกว่านี้ เพราะการคาบวัตถุต่าง ๆ เอาไว้ เป็นการยืดเวลาการตัดสินใจออกไปก่อน

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ท่าจับมือที่น่าสนใจที่สุดคือการจับมือแบบ 2 มือ

ท่าจับมือที่น่าสนใจที่สุดคือการจับมือแบบ 2 มือ เนื่องจากเป็นท่าที่สามารถแสดงความจริงใจต่ออีกฝ่ายที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญด้วยกันสองส่วน คือส่วนแรก มือซ้ายจะถูกใช้เพื่อสื่อความรู้สึกพิเศษที่จะส่งไปยังฝ่ายตรงข้าม และส่วนที่สอง มือซ้ายจะเริ่มล่วงล้ำเข้าไปในระยะใกล้ชิดของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมากแล้วท่านี้จะพบในหมู่เพื่อนฝูง คนที่มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

คว่ำมือลงหรือกำหมัด การคว่ำมือหรือนั่งแล้วกำหมัด เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าเขากำลังจะเกิดพายุใหญ่แล้ว ดังนั้นควรถอยออกมาให้ห่าง
เขาไว้ก่อน เพราะในตอนนี้เขากำลังโกรธจัด จวนเจียนจะระเบิดมันออกมาแล้ว แต่่ยังคงอดกลั้น แต่ถ้ายังดื้อดึงต่อไปไม่ยอมถอยออกมา ความอดกลั้นของเขาอาจจะสิ้นสุดได้และทำให้สถานะการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

งอนิ้วหัวแม่มือหรือใช้ปลายนิ้วสัมผัสกัน การใช้นิ้วเป็นของเล่นแสดงการเบื่อหน่ายอย่างสุดจะทน ถ้าพบท่าทางดังกล่าวเกิดขึ้นกับใครแล้ว ขอให้รุ้ไว้ว่าเขาทนฟังคำพูดจนเต็มกลืนแล้ว ดังนั้นควรจะรีบ ๆ พูดในสิ่งที่คิดเอาให้จบภายในเวลาอันรวดเร็วที่สุด

การซ่อนมือให้พ้นสายตา บ่อยครั้งที่เราจะพบเห็นคนที่พยายามเอามือซุกซ่อนตามที่ต่าง ๆ เช่นในกระเป๋ากางเกงหรือทำอย่างอื่นเพื่อให้มันพ้นไปไปจากสายตาของคนอื่นแต่สิ่งที่เขาเก็บซ่อนนอกจากมือแล้ว ความรู้สึก อารมณ์ที่ไม่อยากได้ยินเรื่องราวจากคู่สนทนาอีกต่อไปคือ สิ่งที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ เพราะเรื่องราวดังกล่าวอาจสร้างความลำบากใจให้เขาได้ หรือรู้สึกไม่ดีถ้าต้องได้ยินเรื่องนั้น

เอามือประสานแน่นและแนบไว้ข้างลำตัว ลักษณะดังกล่าวหมายถึง โอกาส เขากำลังเล็งเห็นช่องทางที่คิดว่าคำพูดของเขากำลังจะเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งอาจจะหมายถึง ความสำเร็จ ส่วนการประสานมือไว้หลังศีรษะ จะหมายถึงความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขารับรู้ ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าเหตุผลนั้นฟังไม่ขึ้น ให้รีบจัดการแก้ไขข้อมูลใหม่ทันที เพราะเขากำลังไม่แน่ใจในเหตุผลนั้น และการประสานมือไว้ที่หลังต้นคอ แสดงถึงความผ่อนคลาย และการเปิดใจรับ ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้หมายถึงการเริ่มผ่อนคลายลงและพร้อมที่จะเปิดรับอย่างเต็มที่ หรืออาจจะหมายถึงความต้องการที่ได้สนทนาในทางที่สร้างสรรค์กว่าเดิม

ท่ากัดนิ้ว คนที่ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน มักใช้ท่ากัดนิ้วเพื่อระบายความกดดันออกมาและมักจะทำไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากกัดนิ้วแล้ว อาจจะหาของอื่นมากัดแทน เช่น ปากกา บุหรี่ หลอด เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการความมั่นคงทางจิตใจ

จับคางเท้าคาง ใช้ในสถานะการณ์ที่มีความเบื่อหน่ายเริ่มแผ่ออกมา เช่น ในห้องเรียน ห้องประชุม สัมมนาอบรม ผู้ฟังที่เริ่มเบื่อหน่ายจะแสดงอาการออกมาด้วยการเท้าคางเพื่อพยุงไม่ให้ศีรษะเอียงไปมา ซึ่งถ้าศีรษะไม่ตั้งตรง อาจจะทำให้เขาเผลอหลับไปได้ เราจะสังเตได้ว่าคนคนนั้นเบื่อมากน้อยแค่ไหน ได้จากความกว้างของแขนข้างที่เท้าคาง หรือพยุงศีรษะอยู่ แต่ถ้าผู้ฟังเคาะนิ้วบนโต๊ะ หรือเคาะเท้าบนพื้นไปเรื่อยๆ แสดงว่าผู้ฟังเริ่มหมดความอดทนที่ต้องทนฟังอย่างเบื่อหน่ายมานานแล้ว และผู้พูดควรจะหยุดพูดได้แล้ว

ท่าเท้าคางแล้วกางนิ้วชี้ขึ้นด้านบน เมื่อผู้ฟังเอามือเท้าคางโดยใช้นิ้วชี้ชูขึ้น แล้วใชนิ้วหัวแม่มือประคองไว้ใต้คาง แสดงว่าผู้ฟังมีความคิดในแง่ลบและกำลังวิจารณ์ตัวผู้พูดอยู่ โดยปกติแล้วการใช้นิ้วหัวแม่มีอประคองหรือพยุงใต้คาง แสดงถึงความสนใจ แต่การใช้นิ้วชี้ขึ้นด้านบนแสดงถึงการวิพากษ์วิจารณ์

ท่ากำมือแนบข้างแก้มและนิ้วชี้ชี้ขึ้นมา ท่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ฟังไม่ได้สนใจในสิ่งที่กำลังฟังอยู่ แต่ทำทีว่าสนใจเพื่อเป็นการรักษามารยาทในที่ประชุม แต่ท่าทางดังกล่าวนี้ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงได้ ผู้พูดจะรู้ทันทีว่าผู้ฟังไม่จริงใและกำลังประจบประแจง เอาใจด้วยการทำท่าเหมือนสนใจฟัง

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การจับมือ การจับมือเพื่อการทักทายและอำลา




การจับมือเพื่อการทักทายและอำลา เป็นวัฒนธรรมของต่างชาติซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมและเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก จนได้รับการยกย่องเป็นสากล ไม่เว้นแต่ในประเทศที่มีอารยธรรม วัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจ การเจจาตกลง การค้าขายกับต่างชาติยังคงดำเนินต่อไปได้และเป็นไปตามเป้าหมาย เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจ ในวัฒนธรรมการจับมือของต่างชาติไว้บ้าง เพื่อให้เข้าใจในความหมายของท่าทาง ซึ่งจะสื่อไปถึงความรู้สึกของเขาด้วย และเพื่อเป็นการแสดงถึงความเป็นสากล ไม่ใช่พวกล้าหลังให้ชาวต่างชาติได้รับรู้

วัฒนธรรมการจับมือของชาวต่างชาตินั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคโบราณสมัยที่มนุษย์ยังอาศัยอยู่ในถ้ำ เมื่อพวกเขาพบปะกัน จะยกแขนขึ้นเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นมือ ซึ่งแสดงว่าพวกเขาไม่มีอาวุธซ่อนเอาไว้ หรือการทาบมือลงบนหัวใจและท่าอื่น ๆ และสุดท้าย ได้วิวัฒนาการกลายเป็นการจับมือในยุคปัจจุบัน

ในกรณีที่เป็นการพบเจอหน้ากันครั้งแรก การจับมือทักทายตามธรรมเนียมจะสื่อความหมายความรู้สึกแรกพบออกมาได้ทันที บางคนเมื่อพบหน้ากัน จะรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องควบคุมคนคนนั้นให้ได้ และการแสดงความรู้สึกนั้นออกมาด้วยการจับมือแบบข่มขู่ โดยจะจับมือและคว่ำมือของตนเองลง ซึ่งตรงข้ามกับการจับมือแบบยอมจำนนที่จะหงายฝ่ามือขึ้น หรืออาจจะมีความจำเป็นอื่น ๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น เช่น ข้อมืออักเสบ มีปัญหาเกี่ยวกับไขข้อ จึงทำให้ต้องจับในท่าดังกล่าว แต่ถ้ารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามควบคุมด้วยการจับมือและคว่ำมือตนเองลง เพื่อให้เขารู้ว่าขณะนี้เขากำลังเป็นต่อเราอยู่ ซึ่งการที่จะพลิกมือให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ให้แก้ใขด้วยการก้าวท้าวซ้ายรุกเข้าใกล้เขา แล้ววางเท้าซ้ายขวางเท้าขวาเขาไว้ วิธีนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถขัดขืน และพลิกมือให้กลับมาตั้งตรงในตำแหน่งการจับมือตามปกติได้และกลับมาเป็นฝ่ายควบคุมบ้าง

บางครั้งการจับมือเพื่อเป็นการทักทาย ควรพิจารณาก่อนว่าควรเป็นฝ่ายจับก่อนหรือไม่ โดยเฉพาะที่ได้พบกันครั้งแรก เพราะมันอาจส่งผลลบแทนได้ ผู้ที่ถูกจับมือโดยไม่รู้ตัวก่อนล่วงหน้าอาจจะทำให้เขาไม่ยินดีกับการทักทาย หรือแสดงออกหรือท่าทีที่ไม่ประทับใจออกมาได้




นักการเมืองมักจะเป็นกลุ่มคนที่ใช้ท่าจับมือแบบถุงมือมากที่สุด โดยจะยื่นมือออกไปจับก่อนเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความประทับใจว่าเขาเป็นคนน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ มีความซื่อสัตย์ แแต่ไม่เหมาะสมสำหรับคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก เพราะท่าจับมือแบบถุงมือเป็นท่าแสดงความสนิทสนมหรือเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันอย่างดี นอกจากนั้นท่านี้ไม่ควรนำมาใช้อีกท่าหนึ่งคือ การจับือแบบเย็นชา การจับมือด้วยความนุ่มนวลและนิ่ง ไม่มีการเขย่า ลักษณะการจับแบบดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าผู้จับเป็นคนอ่อนแอตรงกันข้ามกับคนที่จับในลักษณะที่แสดงถึงความก้าวร้าว เช่น จับแล้วบีบมือด้วยความรุนแรง

ผู้ที่มีความก้าวร้าวมักจะมีท่าการจับมือที่สามารถสื่อให้เห็นถึงความก้าวร้าวได้ง่าย เช่น ท่ายืนแขนเหยียดตรงออกมาจับมือ เขาจะเหยีดแขนออกมาเพื่อรักษาระยะห่างเอาไว้ ไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามล่วงล้ำอาณาเขตของตนและจะมีการโน้มตัวมาข้างหน้า ส่วนคนที่ชอบจับมือแบบจับแต่นิ้ว จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขาดความมั่นใจมาก จะเห็นได้จากการจับมือว่ามีการรักษาระยะห่างของตัวเองเอาไว้

ท่าฝ่ามือ การใช้ฝ่ามือแทนการแสดงออกของมนุษย์

การใช้ฝ่ามือแทนการแสดงออกของมนุษย์นั้นเป็นท่าทางที่ทรงอำนาจมากที่สุด เนื่องจากการใช้มือจะเป็นการแสดงอำนาจและพลังที่ซ่อนเร้น ซึ่งทำให้คนคนนั้นดูมีอำนาจเหนือคนอื่นเมื่อใช้ในการออกคำสั่งหรือแสดงความจริงใจออกมา


ฝ่ามือของมนุษย์นั้นถือว่าเป็นอวัยวะที่มนุษย์หวงแหน และไม่ค่อยเปิดหรือหงายฝ่ามือขึ้นได้ง่ายนัก ดังนั้นมนุษย์จึงใช้ฝ่ามือในการแสดงอารมณ์โดยเมื่อมนุษย์เริ่มที่จะพูดความจริงออกมา เขาก็จะหงายฝ่ามือบางส่วนหรือทั้งหมดไปยังคู่สนทนาด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่รู้ตัว ในกรณีที่ใช้การหงายฝ่ามือออกในขณะที่พูดโกหกท่าทางที่ออกมาจะมีลักษณะของการโกหก แทนที่จะเป็นท่าทางความซื่อสัตย์หรือจริงใจ แต่คนที่ชอบโกหกหรือเป็นนักมายากล มักจะฝึกการใช้ท่าหงายฝ่ามือได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้สอดคล้องกับกลของเขา ในขณะเดียวกันยิ่งเราหัดการใช้ท่าหงายฝ่ามือมากเท่าไร โอกาสที่เราจะพูดโกหกฏ้จะลดน้อยลงไป และถ้าสามารถอ่านท่าทางขณะพูดของคนอื่นได้ ก็จะสามารถจับโกหกของคนได้เช่นกัน

การหงายฝ่ามือขึ้นแสดงถึงการยอมจำนน ไม่ต้องการคุกคาม แต่ถ้ามีคำขอร้องตามออกมาด้วยท่าทางดังกล่าว จะเป็นการบังคับให้ทำหรือแสดงความเป็นต่อหรือเป็นรองในสถานการณ์นั้น

เมื่อคว่ำฝ่ามือลง จะแสดงถึงอำนาจขึ้นมาทันทีโดยที่ผู้ถูกขอร้องด้วยการคว่ำฝ่ามือ จะรู้สึกว่าเขากำลังถูกออกคำสั่งและตกอยู่ในฐานะเป็นรองอยู่

การนั่ง ในกรณีที่การสนทนาเกิดขึ้นบนเก้าอี้



ในกรณีที่การสนทนาเกิดขึ้นบนเก้าอี้ ถ้าทั้งสองฝ่ายยอมรับหรือสนใจในตัวอีกฝ่ายหนึ่งจริง ๆ จะนั่งไขว่ห้างไปทางที่คู่สนทนานั่งอยู่ และยิ่งทั้งสองคนเริ่มที่จะมีความคิดเห็นที่สอดคล้องหรือเหมือนกัน พวกเขาก็จะเริ่มเลียนแบบท่าทาง การเคลื่อนไหวของกันและกัน ในกรณีที่ต้องการแทรกหรือทำลายรูปแบบปิดของการสนทนาให้หมดไป บุคคลที่สามจะต้องเลื่อนเก้าอี้ไปยังตำแหน่งตรงหน้าของอีกสองคน เพื่อสร้างสามเหลี่ยมขึ้น

นอกจากการนั่งไขว่ห้างเพื่อสื่อถึงความคิดเห็นที่ตรงกันแล้ว การนั่งรูปสามเหลี่ยมแบบเปิดยังเป็นการแสดงท่าทางในลักษณะที่ไม่เป็นทางการเกินไป ดูสบาย ๆ ในการพบปะกัน และยังเป็นท่าทีที่เหมาะสมที่สุดในการตักเตือนหรือให้คำแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสามารถแสดงท่าทางเห็นด้วยกับผู้ใต้บังคับจากการนั่งในรูปแบบนี้ด้วยการเลียนแบบการเคลื่อนไหวและท่าทางของเขา การนั่งโดยให้ลำตัวหันไปหาผู้ใต้บังบัญชาโดยตรง เป็นการแสดงถึงความเอาจริงเอาจัง ต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมา การแสดงออกทางสีหน้าและร่างกายน้อยลง จะทำให้ผู้ใต้บังคับรู้สึกเครียด กดดัน และวิตกกังวลมากกว่าตอนที่เขาทำผิด หรือการหมุนเก้าอี้ให้หันตรงไปทางเขาขณะถามคำถาม ก็สามารถทำให้ลูกน้องเกิดความกดดันได้และสาระภาพความผิดออกมา แต่ถ้านั่งเก้าอี้และหมุนให้เก้าอี้หันออกจากลูกน้อง แล้วเปลี่ยนมาเป็นหันศีรษะเข้าหาเขาแทน จะทำให้เขาลดความกดดัีนลงไป ซึ่งท่าที่เหมาะสมกับการถามคำถามที่มีความละเอียดอ่อนหรืออ่อนไหวได้ง่าย เพราะจะทำให้ได้รับคำตอบที่เปิดเผยมากกว่าเดิม



การนั่งและการหันปลายเท้า การหันปลายเท้านอกจากจะเป็นแสดงทิศทางที่ต้องการไปแล้วยังหมายถึง บุคคลที่น่าสนใจด้วย หนุ่ม ๆ ที่ยืนรุมแจกขนมจีบสาวคนหนึ่ง ดูภายนอกก็เหมือนกับว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายกำลังความคุมสถานะการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ เพราะพวกเขาพยายามพูดคุยกับหญิงสาวคนเดียวในกลุ่ม โดยที่ฝ่ายสาวเจ้า ไม่พูดอะไรเลยนอกจากยืนยิ้ม แต่ถ้าสังเกตที่ปลายเท้า จะพบว่าปลายเท้าของพวกหนุ่ม ๆ ทุกคนจะหันไปหาสาวคนนี้ ซึ่งแสดงว่าทุกคนกำลังสนใจในตัวเธอ และเธอเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความสนใจที่มีต่อตัวเธอ และจะยังคงยืนอยู่ในกลุ่มนั้นต่อไปตราบใดที่เธอยังคงเป็นที่น่าสนใจ และอาจจะหันปลายเท้าหรือเหลือบมองหนุ่มที่เธอสนใจอยู่เช่นเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การหัน เวลาที่เรากำลังพูดกับใครสักคน

เวลาที่เรากำลังพูดกับใครสักคน เคยสังเกตหรือไม่ว่าเขาให้ความสนใจหรือความสำคัญการการสนทนากับเราจริงหรือ? หรือเขากำลังสนใจสิ่งอื่นอยู่ในขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับเรา ข้อสังเกตง่าย ๆ ว่าคู่สนทนาของเราจะไม่สนใจเราในขณะที่พูด แม้ว่าท่าทางของเขาดูสนุกสนานกับการพูดคุยกับเราอยู่ คนที่เริ่มสนใจสิ่งอื่นมากกว่าคู่สนทนาของตัวเองจะหันศีรษะไปจากผู้พูด



ยิ้มและมีการโต้ตอบด้วยการพยักหน้า แต่ลำตัวและเท้าของเขาจะหันหน้าออกจากผู้พูด โดยลำตัวหรือปลายเท้าเขาจะหันไปทางอื่น หรือสิ่งที่เขาอยากจะเดินไป เช่น ทางออก ประตู ซึ่ง เป็นท่าเตรียมของเท้า เมื่อเวลาเขาตัดสินใจยุติการสนทนา เขาจะหันลำตัวหรือหมุนเท้าออกไปหาทางออกที่ใกล้ที่สุด ดังนั้นถ้าผู้พูดเข้าใจภาษากายที่เขาสื่อออกมา ก็ควรที่จะรีบจบบทสนทนา หรือถ้าต้องการจะยื้อเวลาสนทนาออกไป ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่ายกลับมาให้ได้ ซึ่งจะทำให้เรากลับมาเป็นฝ่ายควรคุมการสนทนานั้นได้

การหันแบบสามเหลี่ยมมุมเปิด มุมการหันของลำตัวขณะสนทนาจะแสดงเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ท่าทางและความสัมพันธ์ของคนสองคนที่กำลังยืนสนทนากัน โดยยืนทำมุมเป็นรุปสามเหลี่ยม โดยหันปลายเท้าและลำตัวไปยังจุดเดียวกัน เพื่อเป็นการแสดงให้รู้ว่าพวกเขาเชื้อเชิญให้บุคคลที่ 3 เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย และแสดงให้เห็นถึงสถานภาพที่เท่าเทียมกัน การเชื้อเชิญและแสดงถึงความเท่าเทียมกันในวงสนทนา จะเป็นการประกาศว่ามีวงสนทนาแบบมุมเปิดเกิดขึ้นแล้ว และทุกคนสามารถเข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ และเมื่อมีบุคคลที่ 4 ตามเข้ามาร่วมวง รูปสามเหลี่ยมก็จะกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยม และวงกลม หรือ สามเหลี่ยมสองรูป ทันทีเมือมีบุคคลที่ 5 เข้ามา

การสนทนาแบบมุมปิด เมื่อคนสองคนต้องการพูดคุยอย่างเป็นการส่วนตัวหรือมีความใกล้ชิด สนิทสนมกัน ลำตัวและปลายเท้าของพวกเขาจะหันเข้าหากัน และยืนอยู่ในระยะใกล้ชิด ฝ่ายตรงข้ามจะยอมให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาในอาฯาเขตของตัวเองด้วยความเต็มใจ เพื่อเป็นการยอมรับในการเข้ามาของอีกฝ่าย คนที่ยืนแบบปิดจะยืนใกล้กันถึงขั้นแทบจะแนบชิดหรือหายใจรดต้นคอกันได้ ซึ่งต่างไปจากการยืนสนทนาในแบบมุมเปิดที่เป็นการสนทนาในระดับทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความใกล้ชิดกัน นอกจากจะแทนความหมายด้านดีแล้ว การยืนมุมปิดยังหมายถึงท่าทางที่ใช้ท้าทายกันของคนที่ไม่ถูกกัน หรือเป็นศัตรูกัน

การยืนแบบเปิดรับและกันบุคคลที่สามออกจากวงสนทนา การยืนในลักษณะแบบมุมเปิดก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นมุมปิดภายหลัง เป็นการกำหนดและการควบคุมบุคคลที่สามที่เข้ามาร่วมวงสนทนา หรือกันบุคคลที่สามออกไป ในกรณีที่บุคคลที่สามต้องการเข้าร่วมวงสนทนา จะต้องพิจารณาก่อนว่าคนสองคน ที่กำลังสนทนากันอยู่นั้นยืนแบบเปิดหรือปิด ถ้าสองคนแรกยืนและหันปลายเท้ามายังจุดที่สาม จนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยม แสดงว่า พวกเขายินยอมให้บุคคลที่สามเข้ามาร่วมพูดคุยได้ แต่ถ้าทั้งสองคนยืนแบบมุมปิดหรือหันปลายเท้าและลำตัวเข้าหากันเอง ยืนอยู่ในระยะใกล้ชิด และพวกเขามีศีรษะเท่านั้นที่หันมาทางบุคคลที่สาม แสดงว่าพวกเขาไม่ต้องการบุคคลที่สาม ในวงสนทนาของพวกเขา แต่บางครั้งในวงสนทนาก็เริ่มต้นจากสามเหลี่ยมแบบเปิดก่อน แต่หลังจากนั้นก็อาจเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบปิดไป เพื่อกันบุคคลที่สาม ออกไปจากวงสนทนาของคนสองคน ซึ่งบุคคลที่สามจะรู้สึกได้ว่าตนเองควรที่จะผละออกไปจากวงสนทนาได้แล้ว

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลักษณะท่าทางต่าง ๆ




โดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะมีการเปลี่ยนแปลงท่าต่าง ๆ ประมาณ 2-4 ท่า ในระยะเวลา 20 นาที แต่นักจิตวิทยาที่นั่งให้คำปรึกษาผู้คนนั้น จะเปลี่ยนท่าเพียงท่าเดียวตลอดเวลา 20 นาที และในระหว่างการสนทนาก็มักจะนั่งพิงพนักเก้าอี้ แขน ขาไหว้กัน เพื่อแสดงว่าเขากำลังตั้งใจฟังคนไข้ของเขาอยู่ แต่เมื่อเขาฟังจนมาถึงจุดที่เขามีความไม่เห็นด้วย จึงเปลี่ยนท่าทางหรือมีการเคลื่อนไหวเพื่อเป็นการบอกใบ้ จากนั้นก็จะโน้มตัวไปข้างหน้า ปล่อยมือและขาที่ประสานหรือพันกันออกมา



และอาจจะยกนิ้วชู้ขึ้นเมื่อต้องการโต้แย้ง และเมื่อโต้แย้งแล้วก็จะแอนหลังไปพิงพนักเก้าอีเหมือนเดิม นั่งไขว้ขา กอดอก ถ้าเอนหลังจะไม่ไขว้ขา แสดงว่าเขากำลังเปิดโอกาสให้แนะนำหรือเสนอความคิดเห็นได้

เมื่อคนเราพูดคุยกันได้ระยะหนึ่งแล้ว จะจบหรือยุติการสนทนาลงช่วงหนึ่ง และจบด้วยการเคลื่อนไหวหรือย้ายสถานที่ เช่น ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เดินออกไปจากห้อง เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเป็นการขัดจังหวะการสนทนา และเมื่อทั้งสองฝ่ายกลับมาที่เดิมอีกครั้ง จึงเริ่มสนทนาขึ้นใหม่อีกครั้งหรือดำเนินการสนทนาต่อไป


ในบางครั้งภาษาท่าทางที่แสดงออกมาก็มีความสัมพันธ์กับอารมณ์ของผู้แสดงอาการนั้น ๆ ซึ่งคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจในภาษาท่าทางดีนัก ก็จะสามารถเข้าใจในความหมายของท่าทางสภาวะอารมณ์แทน บางครั้งในระดับจิตสำนึกแล้ว เราไม่อาจรู้มาก่อนเลยว่า กิริยาท่าทางที่เราเห็นนั่นหมายถึงอะไร แต่ในระดับของจิตใต้สำนึกแล้ว เราสามารถรับรู้และเข้าใจในท่าทางที่สื่อออกมาได้ ดังนั้นเราจึงพอสรุปประเด็นนี้ได้ว่า เราไม่สามารถให้คำจำกัดความหรือความหมายของท่าทางต่าง ๆ ได้เสมอไป แต่สามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อใดที่เห็นท่าทางแบบนี้ มักจะมีความหมายถึงอะไรบ้าง เมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เรารู้เพียงแค่ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น จึงจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ ในความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วพยายามรวบรวมสรุปออกมาให้ได้

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พฤติกรรมการเลียนแบบท่าทาง พบได้มากในวงสังคมหรือการจับกลุ่มคุยกัน



พฤติกรรมการเลียนแบบท่าทาง พบได้มากในวงสังคมหรือการจับกลุ่มคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งการเลียนแบบท่าทางนี้ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาเห็นด้วยกับผู้พูด และมักจะเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัวกัน การเลียนแบบท่าทางจะดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดทั้งสองฝ่ายจะเริ่มตรงข้ามกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งยืนกอดอก อีกฝ่ายหนึ่งจะกอดอกตาม และเมื่อฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนเอามือมาล้วงกระเป๋าอีกฝ่ายก็จะทำตามทันที การเลียนแบบท่าทางนี้จะพบได้มากในกลุ่มคนที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน มีความสนิทสนมกัน เป็นเพื่อน เป็นคนรู้ใจ หรือเป็นคนรักกัน พวกเขามักจะยืน เดิน นั่ง หรือเคลื่อนไหวร่างกายไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่รู้ตัว

นอกจากนั้นการเลียนแบบท่าทาง ยังสามารถลดบรรยากาศความตึงเครียดได้ดี โดยเฉพาะคนที่ระดับชั้นต่างกันด้วยการเลียนแบบคนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า แต่ทั้งนี้การเลียนแบบท่าทางต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ว่าการเลียนแบบนี้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ เพราะการเลียนแบบท่าทางคนที่มีอำนาจหน้าที่เหนือกว่าตนเอง จะทำให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกข่มขู่และดูหมิ่น เหยียดหยามอำนาจหน้าที่ของเขาได้ แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน สามารถเลียนแบบท่าทางเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ทั้งสองฝ่ายมีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน

การย่อตัว

การย่อตัวหรือทำให้ร่างกายของเราอยู่ต่ำกว่าบุคคลอื่น เป็นการสื่อสารถึงการยินยอม หรือยอมรับในความเหนือกว่าของบุคคลนั้น ยิ่งรู้สึกด้อยกว่าหรือเป็นรองเท่าไร การย่อตัวลงก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นประชาชนหมอบกราบหรือย่อตัวลงให้ต่ำสุดเมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ หรือมีการถวายความเคารพต่อพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์

นอกจากนี้การย่อตัวลงยังเป็นการลดความก้าวร้าว การข่มขู่ลง เมื่อมีการลดตัวหรือย่อตัวลง จะทำให้อีกฝ่ายซึ่งอาจมีอำนาจเหนือกว่าไม่รู้สึกว่าถูกข่มขู่หรือถูกคุกคาม เขาจะไม่ใช้อำนาจเล่นงานกลับมา โดยธรรมชาติแล้วเมื่อคนเรามีสถานภาพที่เหนือกว่าเมื่อเขาอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ดังนั้นเพื่อให้การเข้าถึงอีกฝ่ายประสบความสำเร็จ ควรแสดงท่าทางยอมตกอยู่ในสภาพเป็นรองจะดีกว่า

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โกหก บางครั้งคนเราอาจจะพูดความจริงไม่ได้




โกหก บางครั้งคนเราอาจจะพูดความจริงไม่ได้ การโกหกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น คำพูดที่ออกมาจากปาก จะกลายเป็นข้อมูลผิด ๆ และทำให้การคาดเดานิสัยใจคอ ทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิดของคนคนหนึ่งอาจผิดพลาด หรือเกิดการคลาดเคลื่อนไปได้ ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักการจับโกหกให้เป็น เพื่อป้องกันการคาดเดาที่อาจจะผิดพลาดได้

โกหกบ้างเป็นครั้งคราว

การโกหกเป็นครั้งคราว ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ตนไม่พอใจหรือไม่ชอบใจ และมักจะรู้สึกไม่สบายใจและไม่อยากจะโกหกสักเท่าไร และด้วยความไม่สบายใจนี่เอง ที่เผยให้เห็นพิรุธ ที่อาแสดงออกมาผ่านทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงได้ แต่ในบางครั้งคำโกหกก็ดูแนบเนียนมากจนเราไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะโกหกได้มีการคิดมาแล้ว จึงทำให้คำพูดที่ออกมาดูดี มีเหตุผลและสามารถประติดประต่อเรื่องราวกันได้อย่างดี คนที่โกหกเป็นครั้งคราว มักจะไม่โกหกในเรื่องที่สามารถจับพิรุธได้ง่าย ๆ แต่ให้สังเกตจากท่านทางและวิธีการพูดของเขาให้ดี

โกหกเป็นประจำ

คนที่ชอบโกหกเป็นประจำ รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่จะไม่รู้สึก หรือสนใจในการกระทำของตนเอง ดังนั้นการโกหกของเขา จึงมีความบ่อยครั้งกว่าและมีความสมบูรณ์แบบกว่าแบบแรก ไม่ค่อยแสดงพิรุธออกมาทางสีหน้่ ท่าทาง หรือน้ำเสียง ไม่รู้สึกกดดันหรือวิตกกังวลที่จะต้องโกหก การแสดงออกของเขาจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากจนยากที่จะแยกแยะได้ ให้ความสำคัญกับเรื่องของความถูกต้อง ตรงกัน และความมีเหตุผลของเรื่องโกหกของเขา และไม่ค่อยระมัดระวัง จึงอาจจะพูดอะไรเหลวไหลไปบ้าง

โกหกจนเป็นนิสัย

ความถี่ของการโกหกจะมีมากจนกระทั่งตัวเองยังไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ นั่นเป็นเพราะเขาโกหกบ่อยมาก เกือบจะตลอดเวลา เกือบทุกครั้ง รู้ตัวว่ากำลังโกหกอยู่ แต่ไม่ใส่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริืงหรือโกหก ไม่ค่อยเปิดเผยพิรุธ ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังโกหกอยู่ ไม่มีการเก็บรายละเอียดของสิ่งที่พูดให้ตรงกัน คำพูดไม่ค่อยสอดคล้องกัน และเห็นได้ชัดว่าเขาโกหก ดังนั้นในการจับผิดคนโกหกลักษณะนี้ จะต้องพยายามหาข้อผิดพลากจากเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะแน่นอนของเขา

โกหกจนเป็นอาชีพ

การโกหกในลักษณะนี้เป็นลักษณะที่จับผิดได้ยากมากที่สุด เพราะเขาจะเป็นคนที่โกหกอย่างมีวัตถุประสงค์ ไม่ได้โกหกอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อย มักจะคิดถึงที่เขาโกหกมาก่อนหน้าแล้ว และรุ้ตัวดีว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ต้องโกหกอย่างไร และรู้ว่าจะถูกจับผิดได้ง่ายอย่างไร ดังนั้นคนประเภทนี้จะฝึกฝนการโกหกมาอย่างดีจนไม่เผยพิรุธออกมาทางสีหน้า ท่าทาง และนำ้เสียง คำพูดของเขาจะมีความสอดคล้องกันอย่างส่ำเสมอ และมีความเป็นเหตุเป็นผล วิธีเดียที่จะจับผิดเขาได้คือ การนำคำพูดของเขาไปเทียบกับแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

กิริยาอาการของคนโกหกจะแสดงออกมาได้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ ปิดปาก ตา่ หรือ หู และจะสามารถสังเกตได้ง่าย มองเห็นได้อย่างชัดในเด็ก ๆ แต่เมื่อเขาโตขึ้น ลักษณ์การหลอกลวงของเขาจะมีความสุภาพและสังเกตได้ยากขึ้น แต่การที่มือไปสัมผัสใบหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกท่าเป็นอาการของการโกหกเสมอไป

ท่าปิดปากหรือป้องปาก

จะเป็นท่าที่ผู้ใหญ่ใช้กันซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนโดยจะเอามือปิดปากหรือป้องปาก นิ้วหัวแม่มือกดอยู่ที่แก้มในขณะที่พยายามคิดหาทางปกปิดคำโกหกที่พูดออกมา แต่บางครั้งท่านี้ก็แค่ใช้นิ้วหรือกำปั้นปิดปาก ถ้าเราป้องปากขณะพูด แสดงว่าเรากำลังโกหกอยู่ แต่ถ้าเรากำลังพูดอยู่ ผู้ฟังเกิดป้องปากหรือปิดปาก แสดงว่าเขากำลังรู้สึกว่าเราโกหก

ท่าถูจมูก

การถูจมูกเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งหรือถูเร็ว ๆ เพียงครั้งเดียว เป็นท่าที่ดัดแปลงมาจากการป้องปาก โดยมีต้นกำเนิดมาจากการที่มีความคิดในแง่ลบ จิตใต้สำนึกจะสั่งให้เอามือปิดปาก แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก จึงเลื่อนมือขึ้นมาเหนือปากเล็กน้อย ซึ่งจะตรงกับบริเวณใต้ปลายจมูก หรืออาจเป็นเพราะการโกหกทำให้เส้นประสาทบริเวณจมูกเกิดการชา จึงต้องถูกเพื่อให้หายชา ส่วนอาการคันจมูก นั่นคือ ถ้าเขารู้สึกคันจริง ๆ จะถูด้วยความรุนแรง หรือเกา ซึ่งต่างไปจากการลูกหรือถูจมูกเบา ๆ

ท่าขยี้ตา

เกิดจากการที่สมองสั่งการให้ร่างกายพยายามบิดบังความจริงเอาไว้ หรือพยายามโกหกหลอกลวง หรือเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาหรือมองหน้าคนที่เขากำลังโกรธ สำหรับผู้ชายนั้นเวลาโกหกมักจะขยี้ตาแรง ๆ และมองพื้นบ่อย ๆ หรือไม่ยอมสบตาขณะที่พูดโกหก ส่วนผู้หญิงจะถูเบา ๆ ช้า ๆ ใต้ดวงตา เพื่อไม่ให้ดูก้าวร้าวเกินไปและป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางเปื้อนและหลบตาด้วยการมองเพดาน

ท่าจับใบหู

เป็นท่าที่แสดงให้ผู้พูดทราบว่า ในขณะนี้ผู้ฟังไม่อยากฟังในสิ่งที่ได้ยินอีกแล้ว และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยการเอามือปิดหู ถูข้างหลังใบหู ไชเข้าไปในรูหู ดึงติ่งหูเล่นดึงใบหูมาปิดรูหู ท่าทางเหล่านี้นอกจากจะหมายถึง ผู้ฟังได้ฟังมาพอแล้ว และยังหมายถึงอยากที่จะเป็นฝ่ายพูดบ้าง

ท่าเกาคอ

เราจะพบท่านี้บ่อยเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า "ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเห็นด้วยกับคุณ" เพราะท่านทางดังกล่าวแสดงถึงความไม่แน่ใจ สังสัยโดยใช้นิ้วชี้มือข้างที่ถนัดเกาบริเวณข้างคอหรือต่ำกว่าติ่งหูลงมาและมักจะเกาประมาร 5-6 ครั้งเท่านั้น

ท่าถูต้นคอหรือตบต้นคอ

คนที่กำลังโกหกจะพยายามหลบเลี่ยงสายตาด้วยการจ้องมองพื้น หรือหลบตามองต่ำกว่าระดับปกติ จะแสดงท่าการใช้มือถูต้นคอด้านหลังหรือตบเบา ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังปวดต้นคออยู่ เขาเริ่มกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยการตบที่หลังเบา ๆ จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นการถูต้นคอ

การตบศีรษะ หน้าฝาก หรือต้นคอ

เป็นการทำโทษตัวเองที่ลืมทำในสิ่งที่ได้รับมอยบหมายมา แต่ยังสื่อได้อีกหลายความหมาย เช่น ถ้าเขาตบหน้าฝาก แสดงว่าเขาลืมทำ ไม่ได้ไปกดดันหรือบีบคั้นเขา แต่ถ้าเขตบหลังคอ แสดงว่าเขารู้สึกว่ามีใครกำลังโมโหหรือโกรธเขาอยู่ คนที่ชอบตบต้นคอ มักจะมีแนวโน้มจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย และชอบวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่การถูหน้าผาก เมื่อทำผิดจะเป็นคนง่าย ๆ เปิดเผยมากกว่า

กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ



กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ และเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายใจ เราจะหาอะไรทำเพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว เนื่องจากคนที่กระวนกระวายมักต้องการปลดปล่อยพลังงานออกมา คนที่รู้สึกกระวนกระวาย มักใช้สายตามองไปข้างหน้าและหลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายเกิดความตึงเครียด นั่งคุ้ดคู้ ไขว้ขาและมือสลับกันไปมา หักนิ้วเล่น ใช้มือจับวัสดุต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ บิดมือ กระแอมไอ ยิ้ม พูดแบบกระวนกระวาย สั่น เหงื่อแตก เอามือล้วงกระเป๋า นิ่งเฉย

โศกเศร้าเสียใจ หลายคนคิดว่าความหดหู่กับความโศกเศร้าเป็นอารมณ์เดียวกัน



โศกเศร้าเสียใจ หลายคนคิดว่าความหดหู่กับความโศกเศร้าเป็นอารมณ์เดียวกัน แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่หดหู่ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเสียใจเสมอไป ส่วนมากแล้วความโศกเศร้า เกิดจากความสูญเสีย และมันจะเข้ามามีอิธิพลต่อจิตใจ คือ ร้องไห้ ไม่สามารถประกอบกิจกรรม หรือหน้าที่การงานได้ แยกตัวและเก็บตัว เย็นชา ตาหลุบต่ำ ไม่ค่อยเสดงสีหน้า หรือ อารมณ์บนใบหน้า ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างการ แต่สำหรับคนที่ผ่านความโศกเศร้ามาแล้ว มักมีอาการเคลื่อนไหวร่างกายเกินจริง พูดเร็ว เปลี่ยนหัวข้อที่พูดคุยเร็วเพื่อให้คลายโศกเศ้รา้และรักษาระดับการสนทนาเอาไว้

หดหู่ หรือซึมเศร้า เป็นอาการที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน




หดหู่ หรือซึมเศร้า เป็นอาการที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน เมื่อเราพบความผิดหวังหรือมีความเครียด ความกดดัน สะสมไว้มาก ๆ แต่อาการหดหู่รุนแรง อาจกลายเป็นโรคได้ คนที่เป็นโรคนี้จะไม่ยอมทำอะไรเลย ไม่กิน ไม่นอน ไม่สนใจตัวเอง ต้องได้รับการบำบัดจิตใจเท่านั้น จึงจะทำให้อาการทุเลาลงหรือหายได้ การสังเกตเบื้องต้นสำหรับอาการหดหู่ซึมเศร้าคือ จะมีลักษณะการเคลื่อนไหวร่างกายต่างไปจากคนอื่น ผิดธรรมชาติ ไม่ค่อยกระพริบตา เหนื่อยหน่าย ไม่ชอบเข้าสังคม เก็บตัว กระสับกระส่าย ไม่สนใจอะไรและไม่มีการวางแผนล่วงหน้า พูดเสียงทุ้มต่ำ หรือกลายเป็นคนเงียบ ตาหลุบต่ำ เคลื่อนไหวช้า พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ไม่สนใจตัวเอง ขี้ลืม




วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หงุดหงิด คนเราแสดงอาการหงุดหงิดออกมา 2 ลักษณะด้วยกัน

หงุดหงิด คนเราจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมา 2 ลักษณะด้วยกัน คือการเผชิญหน้าและการยอมจำนน ถ้าเราเชื่อว่าเราไม่ใช่คนผิด ไม่ว่าเราจะหงุดหงิดเพียงใดก็ตาม เราจะวิ่งชนปัญหานั้น ๆ ทันที



แต่ถ้าเหตุการณ์กลับกัน เราคือผ่ายผิด เราก็จะยอมจำนนแทน แต่ยังรู้สึกโกรธอยู่ในใจ สำหรับคนที่มีอาการหงุดหงิดแบบเผชิญหน้า มักจะสบตาหรือจ้องเขม็ง พูดเน้นย้ำ วีลีเดิม ๆ เข้าไกล้คนอื่นในระยะประชิดตัว เขย่าแขน ชี้นิ้ว ยักไหล่ ส่วนคนที่หงุดหงิดแต่ยินยอมจำนน จะถอนหายใจ หายใจเร็ว เท้าเอว หน้าตาบูดบึ้ง เอามือประสานไว้ที่ศีรษะ หรือท้ายทอย เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าปกติ แต่เมื่อรู้สึกผิดจะมีอาการกรอกตา หรือหลับตา สั่นศีรษะ สะบัดมือ ยักไหล่ เดินหนีไป

โกรธ เมื่อคนเราโกรธมักแสดงออกมาในรูปของความก้าวร้าว

โกรธ เมื่อคนเราโกรธมักแสดงออกมาในรูปของความก้าวร้าว ปกป้องตัวเองและถอนตัวออกมา อาการก้าวร้าวเป็นฟฤติกรรมที่ควบคุมตัวเองไม่ได้



ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธ พยายามหลีกเลี่ยงการแสดงออกด้วยความก้าวร้าว อาการของคนที่กำลังโกรธจะแสดงอาการดังนี้ หน้าแดง แขนประสานกัน เท้าสะเอว หายใจถี่และเร็ว พูดคำซ้ำ ๆ กัน ชี้นิ้ว เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว เครียด กัดฟันแน่น เม้มปาก หน้านิ่วคิ้วขมวด ตัวสั่น กำหมัดแน่น หงุดหงิดจนควบคุมแขนไว้ไม่ได้ หัวเราะแบบเสียดสี โดยปกติแล้วคนที่โกรธแล้วมีท่าทีป้องกันตัว เช่นกัดฟัน ประสานมือเข้าหากัน แต่จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างฉับพลัน ทันด่วน ร่างกายจะแข็งทื่อ แขน ขา แนบติดตัว หน้านิ่งไม่สบตา



ส่วนคนที่โกรธแล้วถอนตัว เขาจะไม่สบตาและหันร่างกายไปทางอื่น เงียบ หรืออาจจะเดินออกไปให้พ้นจากบริเวณนั้น

เบื่อ มีสาเหตุมาจากความเครียด

เบื่อสาเหตุมาจากความเครียด จนทำให้ร่างกายและจิตใจเกิดความเหนื่อยล้า จึงต้องการกิจกรรมอื่นเพื่อทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกครั้ง อาการที่สังเกตได้ว่าเขากำลังเบื่อ คือ ลูกตากลอกไปมาอย่างไร้จุดหมาย เพ่งมองออกไปไกล หรือก้มมองนาฬิกาหรือสิ่งของอยู่บ่อย ๆ



ไขว้ขาและไขว้ขาสลับไปมา หักนิ้วเล่น ขยับปากกา ดินสอ หรือแว่นตาเล่น ดึงตัวออกห่างจากคนอื่น ๆ เอนตัวไปข้างหลัง โยกศีรษะไปมา ยืดแขนขา เขย่าหรือขยับแขน ขา อยู่ตลอด


วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พฤติกรรมในสาธารณะ

ใบหน้าที่แสดงออกต่อโลกภายนอก มักไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง แต่สิ่งที่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงก็คือ เสื้อผ้า การแต่งกาย ทรงผมต่างหาก เป็นที่ยอมรับกันว่า คนที่แต่งกายดูดี สะอาดสะอ้าน จังแต่งทรงผมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จะเป็นบุคคลที่สะดุดตาคนทั่ว ๆ ไป แต่ใบหน้าที่แสดงออกในที่สาธารณะ กลับเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง ที่อยู่ในใจ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง เห็นแก่ตัว



แต่ในบางเวลาซึ่งอยู่ในสภาวะที่เร่งรีบ หน้ากากที่สงบอยู่ หลุดออกมาเผยให้เห็นความชั่วร้าย ต่ำทราม ของจิตใจในชั่วขณะหนึ่ง ในเวลานั้นคนเรามักแสดงตัวจริง ๆ ออกมา มีการป้องกันตัวและแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมาจนลืมใบหน้าอันเงียบสงบ นิ่งเฉย ของหน้ากากไปทั้งหมด ฟฤติกรรมที่เผยออกมานี้ สามารถสังเกตได้ในสถานะการณ์ที่มีแต่การแข่งขันเร่งรีบ ทุกอย่างจะเผยออกมาทางใบหน้าทั้งหมด



ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม จะช่วยปิดบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เอาไว้ ในขณะที่เราพยายามควบคุมตัวเองอย่างระมัดระวัง แต่ร่างกายกลับทรยศด้วยการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ซึ่งมันเผยให้เห็นจิตใจที่แท้จริงภายใต้รอยยิ้ม

ตามธรรมชาติแล้วรอยยิ้มหมายถึง ความสุข ความพอใจ แสดงถึงการขอโทษ การป้องกันตัว หรือการขอร้องให้ยกโทษให้ วันทั้งวันที่เรายิ้ม จึงไม่ได้หมายความว่าเรากำลังอารมณ์ดี รอยยิ้มอาจปรากฏขึ้นมาบิดบังความรู้สึกโกรธ รำคาญใจ หรือยิ้มเพราะหวังผลทางธุรกิจ ความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน แต่น้อยครั้งที่จะยิ้มเพราะอยากยิ้มจริง ๆ ดังนั้นรอยยิ้มคือ หน้ากาก ที่เราสวมไว้ตลอดเวลาที่อยู่ในสังคม

แต่เมื่อใดที่มนุษย์ได้กลับคืนสู่อาณาเขตดินแดนส่วนตัวอีกครั้ง หน้ากากจะถูกสลัดไปทันที ถ้ามีใครมาทำอะไรให้รู้สึกขุ่นใจ ก็จะโต้ตอบกลับไปด้วยการแสดงความรู้สึกเชิงลบออกไป เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครนอกจากตัวเอง การตอบโต้จึงมีความรุนแรง และรวดเร็ว แต่ในสภาวะตึงเครียดหรือเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกกดดันมาก ๆ หน้ากากไม่สามารถเก็บซ่อนฟฤติกรรมที่เิกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทุกครั้งที่มีเหตการณ์เริ่มจะตึงเครียดขึ้น ร่างกายจะผลิดเหงื่อออกมามากกว่าปกติ หรือถ้ารู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ มือเท้าสั่นหรือแกว่งไปมาจนไม่สามารถควบคุมได้ แต่มนุษย์จะปกปิดความผิดปกติเหล่านี้ ด้วยการเอามือมาล้วงกระเป๋า หรือหาของหนักมากดทับเอาไว้ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น



กระบวนการบิดบังความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงเป็นกระบวกการที่มีความซับซ้อนและเป็นสิ่งที่มีอยุ่ในตัวมนุษย์ตลอดเวลา ไม่สามารถยกเว้นหรือกำจัดออกไปได้ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่น แต่เมื่อใดที่มนุษย์กลับเข้าไปอยู่ในมุมมืด หรือเวลาลับตาคน จึงสามารถสลัดหน้ากากที่บิดบังเอาไว้ได้ บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถถอดหน้ากากออกได้ เพราะว่ากลัวถ้าแสดง ความรู้สึกที่แท้จริงออกไปอาจจะทำให้ผิดใจกันได้ หรือถูกคำว่า ศีลธรรม ความถูกต้อง หรือมารยาททางสังคม มากดทับเอาไว้ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะคอยบอกว่า สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ สอนว่า การคุ้ย แคะ แกะเกา ร่างกายส่วนต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เมื่ออยู่ในสังคม



การปิดบังบางอย่างก็มีผลมาจากการเรียนรู้หรือซึมซับเอาจากวัฒนธรรมประเภณีปฏิบัติของสังคมและเป็นเรื่องที่ทุกชนชาติ ทุกภาษา มีการพูดถึงกันอยู่เสมอ แต่จะแตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรม

อาการของคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ ได้แก่ จะมีท่าทีผ่อนคลายและเปิดเผย สบตาอยู่เสมอ มีรอยยิ้มที่อบอุ่น นัยน์ตาที่อ่อนโยน ส่วนคนที่ไม่ซื่อสัตย์จะมีลักษณะตากลอกไปมาตลอดเวลา กระสับกระส่าย พูดเร็ว ทำท่าจริงใจเกินไป เหงื่อแตก มีอาการสั่น เลียริมฝีปากบ่อย โน้มตัวมาข้างหน้า

คนที่กำลังใช้ความคิดหรือสนอกสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ จะมีท่าทางคล้ายคนที่กำลังกลัดกลุ้ม คือ การหยุดนิ่งเฉย ไม่เคลื่อนไหว ซึ่งแสดงถึงการมีสมาธิ ในการฟัง หรือครุ่นคิด โดยมากคนที่กำลังใช้ความคิดจะมีอาการรักษาการสัมผัสทางตาไว้ระดับคงที่ เพ่งมองไปยังวัตถุ สงบนิ่ง มือจับที่ปลายคาง กัดปากกา ดินสอ นิ้วมือหรือเล็บ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ย่นหน้าผาก เอนหลังพิงเก้าอี้ เกาศีรษะ เอามือกุมศีรษะ



วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วัฒนธรรมที่ต่างกัน

แม้ว่ามนุษย์จะแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือความเป็นอยู่ แต่เราทุกคนก็สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกบางอย่างได้เหมือนกัน ด้วยการดูหรือสังเกตเอาจากสีหน้าที่แสดงอารมรณ์ออกมา แต่การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้มีการถกเถียงกันต่อไปอีกว่า มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้จากการเรียนรู้ทางสังคม หรือ เกิดจากพันธุกรรม เนื่องจากมีการค้นพบว่า กิริยาท่าทางหรือฟฤติกรรมต่าง ๆ ของผึ้งเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม



มีการสื่อความหมายผ่านทางอากัปกิริยาที่ทำให้ฝูงผึ้งค้นพบแหล่งอาหารแหล่งใหม่ได้เสมอ จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการสื่อความหมายจากการเคลื่อนไหวหรือฟฤติกรรมบางอย่างเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากการถ่ยทอดทางพันธุกรรมไม่ใช่การเรียนรู้

กระับวนการรับรู้ในสมอง เกิดจากการที่ข้อมูลในสมองเกิดขึ้นเองโดยกระทันหัน และเนื้อหาของข้อมูลนั้น จะเชื่อมโยงกับสิ่งที่กระตุ้นเกิดการแสดงออกทางสีหน้าในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ นั้น ได้แก่ ความสุข ความทุกข์ เศร้าใจ ตกใจ ประหลาดใจ โกรธ ดีใจ อับอาย เกลียดชัง เจ็บแค้น จึงสรุปได้ว่า สมองคือตัวบงการ



ควบคุมการแสดงออกทางสีหน้า มันจะควบคุมกล้ามเนื้อทุกมัด ที่อยู่บนใบหน้าเพื่อแสดงสีหน้า มันควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากให้ยกขึ้น เมื่อเรามีความสุขหรือดีใจ และบัีงคับให้มุมปากตกลงได้เมื่อรุ้สึกโกรธ ไม่พอใจ และย่นหน้าฝากเมื่อเกิดความสงสัย

ส่วนการแสดงสีหน้าที่เิกิดจากการเรียนรู้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเพณีปฏิบัติ เป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมนั้น ๆ กำหนดเป็นการตอบสนองต่อสถานะการณ์ในขณะนั้นโดยมีสภาพสังคมเป็นตัวกำหนด กฎเกณฑ์การแสดงสีหน้า สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม ลักษณะของวัฒนธรรมหรือสมาชิกในสังคม ทำให้เราต้องคอยเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ เราไม่สามารถสื่อความหมายถึงสิ่งหนึ่งในอีกสังคมหนึ่งหรืออีกวัฒนธรรมหนึ่งได้ กิริยาท่าทางหนึ่ง ก็เหมาะสมกับสภาพสังคมหรือวัฒนธรรมหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้




เพราะการสื่อความหมายอาจจะผิดพลาดได้ ในสภาพสังคมหรือวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ด้วเหตุนี้จึงสามารถสรุปรวมได้ว่า ภาษาหรือกิริยาท่าทางบางอย่างก็ไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ มันเกิดขึ้นเองตามสัญชาตญาณของเรา แต่บางอย่างต้องพึ่งพาการเรียนรุ็หรือเกิดจากการเลียนแบบซึ่งจะได้กล่าวในส่วนอื่นต่อไป

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การแสดงอำนาจ

เก้าอี้หรือโต๊ะทำงาน เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สามารถประกาศอำนาจหรืออิทธิพลของผู้นั่งเก้าอี้ได้อย่างดี คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุด สวยที่สุด สูงที่สุด จะดูมีอำนาจและอิธิพลต่อคนที่อยู่ต่ำกว่า เช่น ราชบัลลังก์ของพระมาหากษัตริย์ ธรรมาสน์เทศน์ของพระภิกษุสงฆ์ ด้วยเหตุนี้เก้าอี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการยกสถานภาพและอำนาจให้บุคคลหนึ่งได้ต้องประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้















ขนาดของเก้าอี้และอุกรณ์อำนวยความสะดวก ความสูงของเก้าอี้ จะทำให้สถานะภาพของบุคคลนั้นสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ เก้าอี้ที่มีพนักสูงจะทำให้ผู้นั้นดูมีอำนาจเหนือคนที่นั่งพนักเตี้ย ๆ เพื่อแสดงสถานะภาพของเขาต่อหน้าแขกผู้มาเยือน เก้าอี้หมุนหรือเคลื่อนไหวได้ จะแสดงอำนาจและสถานภาพได้มากกว่าเก้าอี้ขาธรรมดา





















โดยที่ผู้นั่งเก้าอี้ติดล้อจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในยามที่เขาตกอยู่ใต้สถานการณ์ที่กดดัน ส่วนเก้าอี้ที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จะทำให้ผู้นั่งไม่สามรถลดความกดดันด้วยการเคลื่อนไหวได้ และจะระบายความกดดัน ตึงเครียด ออกมาด้วยท่าทางต่าง ๆ ที่แสดงถึงความรู้สึกของคน ๆ นั้น ซึ่งต่างไปจากคนที่นั่งเก้าอี้ที่เคลื่อนที่ได้ เพียงแต่การเคลื่อนที่ของเก้าอี้ไปมาโดยไม่ต้องแสดงท่านทางออกมา ก็สามารถระบายหรือลดความตึงเครียด ความกดดันลงได้แล้ว ส่วนเก้าอี้ที่ไม่มีล้อ ไม่มีที่เท้าแขนหรือพนักพิงหลังจะทำให้คนที่รู้สึกกดดัน ไม่สามารถระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้

นักธุรกิจบางคนจะชอบนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงสูง จัดโต๊ะและเก้าอี้ให้อยุ่ในระดับที่สูงกว่าปกติ ส่วนเก้าอี้ของแขกจะถูกจัดให้อยู่ในระดับเตี้ยกว่า และตั้งอยู่ในลักษณะตรงข้าม ทำให้ผู้ที่นั่งบนเก้าอี้ของแขกต้องเงิยหน้าขึ้นมอง นี่เป็นกลยุทธ์ของนักธุรกิจที่หลอกล่อให้แขกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองกับเขาได้ หรือตกอยุ่ในสถานะการณ์ที่ต่ำกว่า นอกจากนั้นระยะห่างของคู่สนธนายังมีผลต่อความรู้สึกของผู้มาเยือนเช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่น ๆ ยิ่งเก้าอี้ของผู้มาเยื่อนอยู่ห่างจากโต๊ะของนักธุรกิจเท่าใด จะทำให้สถานะภาพของเขาลดต่ำลงจนติดดิน

การขออนุญาตบุกรุกอาณาเขตส่วนตัว

เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องบุกรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวของบุคคลอื่น จำเป็นต้องส่งสัญญาณบอกถึงความเคารพในอาณาเขตส่วนตัวของผู้อื่น ด้วยการลดสายตาต่ำลงขณะที่นั่งลงใกล้ ๆ ผู้อื่น ในกรณีที่ต้องนั่งในสภาวะที่มีผู้คนแออัดในบริเวณนั้น ควรนั่งและมองตรงไปข้างหน้าและไม่ควรหันไปมองคนข้าง ๆ แต่เมื่อไม่ต้องการให้ใครมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ก็สามารถทำได้ด้วยการหาที่นั่งอยู่ห่างไกลจากผู้คนเท่าที่จะทำได้ และนั่งให้ท่างจากคนที่อาจจะทำความรำคาญให้ได้
















หรือหาโต๊ะว่างที่สามารถนั่งได้คนเดียว แต่บางสถานะการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวยให้สามารถนั่งได้ตามลำพัง อาจใช้การนั่งที่มุมใดมุมหนึ่งของโต๊ะ ซึ่งเป็นตำแหน่งถอยหลังให้กับผู้มาใหม่ แต่บอกใบ้ให้เขารู้ว่าเขาต้องไม่เข้าใกล้หรือเข้ามายุ่งวุนวาย ส่วนคนที่ชอบจัดโต๊ะทั้งหมดให้เป็นของตัวเองมักจะเป็นคนที่มีความก้าวร้าว โดยสังเกตได้จากพฤติกรรมของเขา คนที่มีความก้าวร้าวมักจะนั่งตรงตำแหน่งกลางโต๊ะ และปฏิเสธไม่ให้ผู้ใดร่วมโต๊ะกับเขาอย่างไม่มีเยื่ยใย

พฤติกรรมทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้สามารถสรุปได้ว่า คนที่ถอยหลังให้กับผู้มาใหม่ด้วยการแบ่งให้คนอื่นร่วมโต๊ะด้วย โดยตัวเองจับจองมุมใดมุมหนึ่งของโต๊ะ ต้องการอยู่ห่างจากคนอื่นเท่าที่จะทำได้ แต่จะไม่หันหน้าไปทางประตู ไม่รังเกียจที่จะมีใครมานั่งร่วมโต๊ะ แต่ขอให้เขาอยู่ตามลำพัง

ส่วนคนที่นั่งกลางโต๊ะแสดงถึงความต้องการจับจองเป็นเจ้าของโต๊ะทั้งตัว หันหน้าไปทางประตูเพื่อเป็นการป้องกันตัว ถือสิทธิ์ในอำนาจครอบครองโต๊ะตัวนั้นและแสดงถึงความสามารถในการจัดการกับสถานะการณ์และต้องการโต๊ะสำหรับตัวเอง แต่การนั่งทั้งสองตำแหน่งนี้จะชอบนั่งด้านหลังของโต๊ะและชอบนั่งโต๊ะตัวเล็ก ๆ หรือไม่ก็โต๊ะที่ติดกำแพง















วิธีต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้ความเป็นส่วนตัว จะสะท้อนให้เห็นบุคลิกภายในของคน ๆ นั้น คนที่มีบุคลิกเปิดเผยมักแสดงความต้องการของตัวเองออกมาว่าต้องการความเป็นส่วนตัว แต่พวกชอบเก็บตัวหรือไม่กล้าแสดงความต้องการ จะพยายามดิ้นรนหาที่เป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันก็ยอมให้ผู้อื่นร่วมโต๊ะด้วย แต่ต้องมีระยะห่างพอสมควร

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระยะห่าง
















ในการแสดงอาณาเขตมองมนุษย์นั้น จะมีตัวกำหนดเขตแดนตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจน และมีระยะห่างระหว่างบุคคลอื่นที่แบ่งแยกกันไปตามลักษณะความสำพันธ์ ซึ่งระยะห่างนี้เองที่สามารถบอกได้ถึงความสำพันธ์ของคนสองคน ที่กำลังยืนพูดคุยกันอยู่ได้

1. ระยะใกล้ชิด ในระยะดังกล่าวจะมีความห่าง 15- 45 ซม. เป็นระยะที่คนเราหวงแหนมากที่สุด ราวกับว่ามันเป็นสมบัติอันล้ำค่า และมักเกิดขึ้นเมื่อมีเพศสำพันธ์หรือ กับคนที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันมาก ๆ หรือเกิดกับลูกที่ติดพ่อแม่แจ หรือเด็กที่เกาะติดกันเอง เมื่อการยืนอยู่ระยะใกล้ชิด แสดงว่าเรารุ็จักมักคุ้นฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี แต่ถ้าผู้ชายสองคน ยืนอยุ่ในระยะนี้เขาจะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว แต่ถ้าเป็นชายหญิงที่สนิทสนมกัน เป็นคู่รักกัน ระยะนี้จะเป็นระยะที่เหมาะสม และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

2. ระะยะส่วนตัว ใช้สำหรับพบปะคนรู้จักหรือเพื่อนฝูง ในระยะนี้ สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ระยะด้วยกัน คือระยะส่วนตัวที่อยู่ในระยะไกล้ชิด และพื้นที่ส่วนตัวในระยะไกล















โดยระยะใกล้จะมีระยะห่าง 45-75 ซม. เช่นการถือ หรือจับมือคนรัก ส่วนพื้นที่ส่วนตัวระยะไกลจะอยู่ในระยะห่างประมาณ 75-120 ซม. ซึ่งถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของอำนาจการยึดครอง ในระยะนี้จะเริ่มสัมผัสคนรักหรือฝ่ายตรงข้ามได้สะดวกขึ้น แต่ใกล้พอสำหรับการถกเถียงเรื่องส่วนตัว

3. ระยะห่างทางสังคม ใช้สำหรับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยหรือสนิทสนมด้วย อยู่ในระยะห่างประมาณ 1-4 เมตร มักใช้ในกรณีที่มีการเจรจาค้าขายกัน ระยะห่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ข้อดีของระยะนี้คือ จะเปิดโอกาสให้เขาได้ป้องกันตัวและป้องกันการกระทำที่ไม่สุภาพ

4. ระยะห่างของสาธารณชน ใช้ในการอยู่ในฝูงชน กลุ่มคน มีการแบ่งแยกย่อยออกเป็นระยะใกล้ ประมาณ 2-8 เมตร เป็นระยะที่เหมาะสำหรับการรวบรวมที่ไม่เป็นทางการ เช่นระยะห่างของครูกับนักเรียนทั้งห้อง และระยะไกลออกไป ซึ่งเป็นระยะตั้งแต่ 7 เมตรขึ้นไป มักใช้กับนักการเมือง เนื่องจากเป็นระะยะที่ปลอดภัยและเหมาะแก่การแสดงกิริยาท่าทางเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม โดยที่เขาอาจจะไม่ต้องพูดแต่ความจริงเสมอไป ระะยะดังกล่าวนี้เป็นระยะที่โกหกได้ง่ายที่สุด ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยจะพบการใช้ระยะห่างดังกล่าวในโรงละคร

















ความรู้สึกหนึ่งที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมากกว่าการเรียนรู้จากสังคมคือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของอาณาเขตของตน สัตว์บางจำพวกจะยึดครองอาณาเขตหรือดินแดนที่เป็นของตัวเองชั่วคราวเท่านั้น และจะเคลื่อนย้ายไปตามระยะเวลาหรือฤดูกาล แต่สัตว์บางจำพวกจะปักหลักตั้งถิ่นฐานและอยู่อย่าถาวรอยู่ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่มีการโยกย้ายไปใหนอีก ธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน พวกเราจะมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับอาณาเขตมาตั้งแต่เกิด และจะไม่มีวันจากหายไปตราบจนสิ้นอายุขัย อาณาเขตและการกำหนดเขตของตัวเอง เป็นแรงกระตุ้นจากความต้องการที่จะปกป้องดินแดนของตกเอง และแรงกระตุ้นดังกล่าวนี้ จึงทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักรักษาดินแดนของตนเอง

แต่ในสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน มนุษย์มีอาณาเขตของตัวเองถอยลงไป โดยสังเกตได้จากตามเมืองใหญ่ ๆ หรือจังหวัดสำคัญ ๆ เริ่มมีที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยมีบ้านและที่ดิน ก็มาเปลี่ยนเป็นสิ่งปลูกสร้าง ตึกสูงที่ทะยานสูงขึ้นไป จนดูเหมือนว่ามันกำลังจะทะลุขึ้นท้องฟ้าไป มนุษย์มีการเียดเสียดยัดเยียดกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งขึ้นรถลงเรือ ซึ่งหนีไม่พ้นการกระทบกระทั่ง สัมผัสถูกตัวกันบ้าง ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการีอาณาเขตของตัวเอง ไม่ชอบการรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของตัวเองหรือเข้าไกล้เรามากเกินไป

















ผลที่ตามมาจากการรุกล้ำอาณาเขตของคนในเมืองก็คือความรู้สึกอึดอัด เหมือนถูกคุกคามและส่งผลต่อสุขภาาพจิต คนในเมืองมักจะมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่กว่าคนในชนบทหรือชานเมือง

แต่ละคนจะพยายามใช้ภาษากายที่มีอยู่ทั้งหมดแสดงออกมาเมื่อเขารู้สึกว่าอาณาเขตส่วนตัวของเรากำลังถูกบุกรุก เช่น การก้าวถอยหลัง เดินหนี การโยก เขย่า แกว่งขาไปมา การเคาะนิ้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนแรกที่บอกถึงภาวะตึงเครียดและเตือนฝ่ายตรงข้ามให้รู้ตัวว่าเขากำลังถูกบุกรุกอยู่ การเข้าไปไกล้ตัวเขาทำให้เขารู้สึกอึดอัด ไม่สบาย จากนั้นก็จะมีการเตือนชุดที่ 2 ออกมา ด้วยการหลับตา ก้มหน้า จนคางชิดอก ห่อไหล่ นั่งกอดเข่า ซึ่งเป็นการบอกใบ้ว่าเขากำลังบับไล่ผู้บุกรุกให้พ้นไปจากอาณาเขตของเขา

ห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือ จะเป็นสถานที่ที่สามารถอธิบายถึงการบุกรุกได้ดีที่สุด เพราะภายในมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบและก่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวขึ้น โดยปกติแล้วคนที่เข้ามาใช้บริการของห้องสมุด จะแยกตัวจากคนอื่น ๆ พยายามนั่งให้ห่างจากคนอื่น แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวของใครสักคน เช่นเข้าไปนั่งไกล้ ๆ หรือนั่งฝ่ายตรงข้าม คนคนนั้นจะเตือนด้วยภาษากายและเริ่มป้องกันตัวเองด้วยการเปลี่ยนท่าน พยายามเตือนแล้วเปลี่ยนเป็นเดินหนีไปหาที่นั่งใหม่เงียบ ๆ เอง
















ในบางครั้งการบุกรุกอาณาเขตส่วนตัวก็ถูกตอบโต้กลับมาด้วยความรุนแรง ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่น้อยถูกรบกวนหรือถูกบุกรุกอาณาเขตส่วนตัวก่อน จึงโต้กลับไปด้วยการทำร้ายร่างกายส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะรุกล้ำอาณาเขตด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

  1. ผู้บุกรุกเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อน
  2. ผู้บุกรุกเป็นศัตรูและกำลังจู่โจม ซึ่งเมื่อถูกบุกรุกจากคนแปลกหน้า คนเราจะมีอาการดังต่อไปนี้ทันที นั่นคือ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ร่างกายหลั่งสารอะดีนาลีนออกมาสู่กระแสเลือด จากนั้นก็จะสูบฉีดขึ้นไปที่สมองและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพื่อเตรียมการต่อสู้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เมื่อใดที่เราอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังชุมนุมกันอยู่ เช่น การแสดงดนตรี มีการเบียดเสียด สัมผัดกันบ้างเล็กน้อย หรือการยืนโหนรถประจำทางที่มีผู้โดยสารเต็มและแน่นขนัด เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ เช่น จะยืนนิ่งไม่พูดจากับใครนอกจากคนที่รู้จักพยายามหลบตาคนอื่นตลอดเวลา ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกทางใบหน้า ถ้ามีหนังสือหรือข้อความเล็ก ๆ จะพยายามอ่านมัน แม้ว่าจะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม ยิ่งมีคนเยอะการเคลื่อนใหวร่างกายน้อยลง ถ้าอยู่ในลิฟต์โดยสาร จะเงิยหน้ามองแต่ตัวเลขบอกชั้นเท่านั้น




.









การเคลื่อนไหวที่เข้าไปในระยะใกล้ชิดของเพศตรงข้าม เป็นวิธีแสดงความสนใจในตัวคนนั้น และมักจะเรียกว่าการประชิดตัว แต่ถ้าก้าวเข้าไปไกล้อีกผ่ายหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพื่อรักษาระยะห่าง แต่ถ้าก้าวเข้าประชิดแล้วไม่ถูกปฏิเสธ ทั้งสองผ่ายก็จะรักษาระยะดังกล่าวเอาไว้ ดังนั้นการที่บุคคลอื่น ๆ จะยอมรับหรือปฏิเสธการรุกล้ำเข้ามาอีกฝ่าย ขึ้นอยู่กับอาณาเขตส่วนตัวของฝ่ายที่ถูกรุกล้ำว่ามีมากน้อยแค่ไหน

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อาณาเขตของสัตว์















ฟฤติกรรมอย่างหนึ่งของสัตว์ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของมันคือ
การต่อสู้ เรามักจะเห็นสัตว์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนอาจถึงขั้นมีฝ่ายใดผ่านหนึ่งต้องตายไป หรือแค่มีท่าทียอมแพ้แล้วก็แยกกันไปเอง ซึ่งคนเรามักไม่เข้าใจในการกระทำของพวกมัน กลับมองว่าพวกมันกัดกัน ก็ปล่อยให้มันกัดกันไป ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือตกใจกลัวกับภาพการต่อสู้อย่างโหดร้าย ทารุณ ป่าเถื่อน แต่ความจริงแล้วการต่อสู่กันเป็นพฤติกรรมปกติของสัตว์ สัตว์ 2 ตัวต่อสู้กันก็เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ต้องการเป็นผู้นำ

















ตัวที่มีความก้าวร้าว มีพละกำลังมากกว่า แข็งแรงกว่า ก็จะเป็นผ่ายชนะไป การการต่อสู้จะยุติลงเมื่อรู้ผลแล้วว่าผ่ายใดเป็นผู้ชนะ แม้ว่าบางครั้งการต่อสู้ไม่ได้จบลงด้วยการมีเลือดตกยางออกก็ตาม ส่วนตัวที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็จะแสดงอาการยอมแพ้ด้วยการนอนหงาย ยกเท้าขึ้น และหันคอไปทางผ่ายชนะ

ตัวที่ชนะก็จะประกาศชัยชนะด้วยการยืนคร่อมเหนือร่างผู้แพ้ แยกเขี้ยวขู่ คำรามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็จะแยกออกจากกัน และทุกอย่างก็กลับคืนสภาพปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น















สัตว์บางชนิดบางสายพันธุ์ จะต่อสู้กัน แต่จะไม่ฆ่ากันเอง การต่อสู้จะเป็นเพียงแค่สัญชาตญาณอย่างหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญ ๆ เช่น ช่วงเลือกคู่ผสมพันธุ์ ประกาศดินแดนหรืออนาเขตของตัวเอง แต่พวกมันจะหันไปโจมตีต้นไม้ที่อยู่ไกล้ ๆ แทนการโจมตีพวกพ้องกันเอง ดังนั้นพวกมันจึงต้องเรียนรู้ถึงศิลปะการต่อสู้ ซึ่งในการต่อสู้กันนี้จะมีความหมายอยู่ในตัวของมันเอง จึงเป็นหน้าที่ของพวกนันที่จะต้องตีความหมายนั้นให้ได้

การแสดงอาณาเขตและความเป็นเจ้าของ















การแสดงอาณาเขตและความเป็นเจ้าของ


จะพบว่าตัวเราเองมักแสดงอาณาเขตตัวเองให้ผู้อื่นรู้เห็นด้วย การยืนพิง สัมผัส สิ่งของหรือบุคคล เพื่อเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของออกมา อาการแสดงอาณาเขตหรือความเป็นเจ้าของมักจะ ยืนพิง วางเท้า ข้างหนึ่งบนสิ่งของ หรือใช้แขนโอบกอด เมื่อร่างกายของเขาได้สัมผัสกับสิ่งของมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาไป และเพื่อให้คนอื่นได้รู้ว่ามันเแ็นของเขาเพียงผู้เดียว คู่รักมักจะแสดงความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน ด้วยการจูงมือ หรือโอบกอนในที่สาธารณะ หรือ เมื่อมีคนกำลังมองมองดูคู่รักของตนอยู่ นอกจากจะเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ หรือการแสดงอาณาขตแล้ว การพิง นั่ง หรือใช้ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตยังแสดงถึงการข่มขู่ผู้อื่น ทำให้เจ้าของของชิ้นนั้นเกิดความรู้สึกเชิงลบได้ตั้งแต่แรกพบ















ลักษณะที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ นั่งเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นมาพาดด้วยท่าที่สงบนิ่ง ผ่อนคลาย นั่นหมายถึง เขากำลังประกาศความเป็นเจ้าของเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ และแสดงว่าเขากำลังผ่อนคลาย


ในท่าเดียวกันแต่ต่างสถานการณ์ออกไปผลที่ตามมาจะต่างออกไป ถ้าเขานั่งนิ่ง มีท่าทีตั้งอกตั้งใจฟังในสิ่งที่คู่สนทนากำลังพูด จากนั้นเริ่มเอนตัวไปข้างหลัง พิงพนักเก้าอี้แทน และยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาด แสดงว่าเขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนเดิมแล้ว แต่มันหมายถึงความไม่สนใจ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคู่สนทนาเลย และอาจจะรู้สึกเสียเวลาอยู่นิด ๆ ที่ต้องมานั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ ในขณะเดียวกัน ก็อาจจะแกลงมองหน้าผู็พูดบ้าง เพื่อไม่ให้เขาดูว่าไม่สนใจฟังเลย


แต่ถ้าพบกับคนที่กำลังแสดงความเป็นเจ้าของโดยการยกขาขึ้นพาดโต๊ะ ต้องรีบทำให้เขาเปลี่ยนท่าให้ได้ อาจจะหลอกล่อให้ต้องโน้มตัวมาข้างหน้า เพื่อให้เขาเปลี่ยนท่านั่ง และบรรยากาศการสนทนาหรือเจรจาจะดูผ่อนคลายมากขึ้น


บางคนชอบยืนเท้าประตู ซึ่งการยืนในสักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าลึก ๆ เขาเป็นคนชอบข่มคนอื่น และมีผลต่อภาพลักษณ์ของเขาเองตั้งแต่แรกพบ ดังนั้นการพบปะกับใครเป็นครั้งแรก ควรยืนในท่าตรง แบมือออกเพื่อแสดงความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น เนื่องจากความรู้สึกชั่วแวบแรกที่ได้เห็นจะเป็นสิ่งที่ถูกประมวล เป็นความรู้สึกแรกพบได้ และความรู้สึกนี้จะติดแน่นอยู่ในใจของผู้พบเห็นไปตลอดและไม่มีโอกาสที่จะลบเลือนได้เลย

การเตรียมพร้อมก่อนการอ่านใจคน



















1. พยายามใช้เวลาอยู่กับผู้คนให้มาก เพื่อหัดสังเกต เรียนรู้ ทำความเข้าใจคน เนื่องจากในปัจจุบันคนเรามักจะเหินห่างผู้คนรอบข้าง หรือคนใกล้ตัวมากไปทุกที ได้แต่ขังตัวอยู่ในหอคอยงาช้างที่สูงตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว แต่อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ต้องการสังคม ต้องมีการติดต่อสื่อสารกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจคนจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างหนึ่งของมนุษย์เนื่องจากในโลกทุกวันนี้ เทคโนโลยี ความก้าวหน้า ต่างก็ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด สร้างความสะดวก สบายให้กับชีวิตมนุษย์อย่างมากมาย จนทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไป

เราพูดคุยกันอย่างเผชิญหน้าน้อยลงไปทุกที เพราะมีโทรศัพท์เข้ามาแทนที่ วัตถุประสงค์ในการพูดคุยเปลี่ยนไปจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ เป็นการพูดคุยเพื่อข้อมูล ความเคลื่อนไหวเรื่องราวต่าง ๆ โดยละเลยเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของกันและกันไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อารมณ์ความร้สึกนั้นมีความสำคัญในการตัดสินใจไม่น้อย

















ส่วนใหญ่แล้วคนเรามักไม่ยอมเปิดเผยตัวเอง เหตผมหนึ่งนั้นมาจากความที่คนเราขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จริงอยู่ที่คนเราเป็นสัตว์สังคม มีเพื่อนฝูงมีคนรู้จักมากมาย แต่คนเหล่านั้นยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี และสร้างความคลางแคลงใจให้เราได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ นั่นเป็นเพราะเราหวาดกลัว คนเหล่านั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงการสำผัส จึงทำให้เราไม่ได้ทักษะทางสังคมบ่อยครั้งอย่างที่ควรจะเป็น

2.หัดหยุด มอง และฟัง ผู้อื่นด้วยความอดทนและตั้งอกตั้งใจ คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาไม่นานในการสังเกต รวมรวมข้อมูลผ่านตรงข้าม รีบร้อนตัดสินใจคน แต่การรีบร้อนไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเลย ไม่ว่าสิ่งที่ตัดสินใจจะถูกหรือผิด เรามีเวลามากมายที่จะใช้ตัดสินใจได้อย่างสบาย ๆ ถ้าการตัดสินใจของเรายังทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ลองยืดเวลาออกไปก่อน เพื่อให้ทุกอย่างมันกระจ่างชัดเราต้องใช้ความอดทน อดทนที่จะรอคอยหรือคิดทบทวนก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจอย่างเร่งรีบ อาจจะทำให้เราได้ข้อมูลที่ผิดพลาดซึ่งจะนำไปสู่การสรุปที่ผิดพลาด

3.ก่อนที่จะให้ใครเปิดใจนั้นเราต้องกล้าเปิดใจตัวเองเสียก่อน เพราะเขาต้องการเวลาในการอ่านเราเช่นเดียวกัน และถ้าต้องการให้เขาพูดกับเราอย่างเปิดเผย หมดเปลือก อันดับแรก เราต้องให้เขาเชื่อใจเราก่อนด้วยการแสดงออกมาว่า เราเปิดเผย จริงใจ ไม่มีอะไรปิดบังเขา เมื่อเขาได้อ่านใจเราไปบ้างแล้ว เขาก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเกิดความสบายใจ ก็กล้าเปิดใจมากขึ้น



















4. รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้าเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งที่เราปรารถนาหรือต้องการก็ไม่มีวันมาอยู่ในมือเราได้ เรามักจะไม่ค่อยใช้เวลาประเมินบุคลิกโดยรวมของคนที่เรารู้จัก เพื่อนสนิท หรือแม้แต่คนรัก และเมื่อเขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ก็มักจะทำให้เราผิดหวังกับการกระทำของเขา จากนั้นความสำพันธ์ระหว่างกัน ก็เปลี่ยนไป สาเหตุนั้นเกิดจากการที่เราใช้เวลาในการพิจารณา คิดทบทวนน้อยเกินไป จึงต้องมาผิดหวังภายหลัง การตอบโต้จึงเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกผิดหวัง โดยที่เราลืมนึกถึงความต้องการดั้งเดิมของเรา

ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจคบหาใครสักคน ไม่ว่าความสำพันธ์นั้นจะอยู่ในระดับใดก็ตาม เพื่อน คนรัก หรือคนรู้จัก จะต้องคำนึงถึงสำพันธภาพในระยะยาวเป็นหลัก ไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าเขาสามารถเข้ากับเราได้มากน้อยเพียงใด และมิตรภาพของเราจะยืนยาวหรือไม่ อย่าคิดหรือมองอะไร ๆ แคบเกินไป จริงอยู่ที่วันนี้เราและเขาอาจจะมีความสุข หน้าตจาชื่นบาน แต่ในวันข้างหน้า เราอาจจะต้องมานั่งทุกข์ใจ หน้าชื่นอกตรมแทน

5.ฝึกสร้างเป้าหมายให้กับตัวเอง เราไม่อาจจะอ่านใจคนได้อย่างถูกต้อง ถ้าเราไม่มองเขาอย่างมีเป้าหมาย เราต้องการเห็นอะไรในตัวเขา แต่ถ้าการตัดสินใจของเราเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ต่อชีวิตเรามากเท่าไร การยึดมั่นในเป้าหมาย หรือสิ่งที่ต้องการก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่าเดิมหลายเท่า เรามักใช้อารมณ์ในขณะนั้นมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจกันมาก และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเพราะอารมณ์ ทุกข์ สุข เศร้าหมอง หรืออารมณ์อื่น ๆ ทำให้เรามองข้ามภาพรวมหรือความจริงระยะยาวไป

เปรียบได้เหมือนความรัก เมื่อคนเราตกอยู่ในห้วงของความรัก น้ำต้มผักที่ขมก็หวานได้ ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ดูดีน่ารักไปหมด แต่เมื่อใดที่ความลุ่มหลงหมดไป ความจริงก็เผยออกมา จะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด เมื่อใดที่ความจริง ถูกเผยขึ้นมา เราก็จะรู้สึกเจ็บปวด ทรมานไปกับสิ่งที่ได้เห็น ได้รับรู้ แต่ถ้าเราแกล้งทำตาบอด มองไม่เห็น ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ก็อาจทำให้เราสามารถเอาชนะความจริงไปได้

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด แทนที่จะยอมรับมัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น ก็เพราะมันมักจะมีเงื่อนไขขึ้นมาทันทีที่เราเกิดความผิดหวังในตัวคนรัก เพื่อน หรือคนรู้จัก เรามักจะมองไม่เห็นนิสัยเห็นแก่ตัวของคนที่เรารัก เราจะไม่อยากให้คนที่เราไม่ชอบได้ดี และเมื่ออารมณ์ความรู้สึกกลายเป็นตัวผลักดันเราไปตามสถานการณ์ จะทำให้เป้าหมายที่เราวางไว้เปลี่ยนไป และเมื่อใดที่เรารู้สึกอ่อนไหว หรือหวั่นไหวได้ง่าย ก็จะเป็นตัวบังคับให้เราตัดสินใจออกมา และมักจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลากอยู่บ่อย ๆ

ความรู้สึกต่าง ๆ จะทำให้เราไม่กล้าเปลี่ยนแปลงนอกจากนั้นยิ่งเรารีบร้อน โอกาสที่เราจะผิดพลาดยิ่งมีมากขึ้น โดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะทำผิดพลาดเมื่อลนลานหรือรีบ บ่อยครั้งที่เรามักจะตกเป็นเหยื่อของการชักจูงภายในเงื่อนไขของเวลา ยิ่งไกล้หมดเวลาเท่าไร คนเรามักจะขาดสติ ขาดการพิจารณา และมองอะไรผิดพลาดไปหมด เพียงเพื่อให้ตัวเองสามารถผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ เมือใดก็ตามที่พบว่าเริ่มมีอาการแปลกไปจากเดิม เมื่อถูกเวลาเป็นตัวกำหนด การอ่านใจคนก็จะมีโอกาสผิดพลาดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นขอให้หยุดและมองหาทางเลือกอื่นแทน ความหวาดกลัว หรือความกลัวเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้การอ่านใจคนเกิดความผิดพลาด เนื่องจากมันจะทำหน้าที่ป้องกันความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความผิดหวัง

เรากลัวการตัดขาดความสำพันธ์ เพราะกลัวสูญเสียคนที่เรารักไป ไม่กล้าปฏิเสธงานที่เจ้านายมอบหมายให้ เพระากลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน หากเราไม่สามารถขับไล่ความกลัวออกจากจิตใจได้ ก็ควรที่จะหันกลับไปมองว่าเรากลัวอะไร และเลือกทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บป่วยน้อยที่สุด

และสุดท้าย การป้องกันตัวเองมากเกินไป จนไม่เปิดรับคนอื่น จริงอยู่คนเราไม่ต้องการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกตำหนิดติเตียน แต่เมื่อเรารู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามด้วยคำวิจารณ์ เรามักจะตอบโต้ด้วยการสร้างกำแพงขึ้นในใจ ปิดกั้นทุกสิ่งไม่ให้เข้ามาสู่จิตใจได้ ซึ่งในจุดนี้เองทำให้เราสูญเสียทักษะในการอ่านจิตใจคนไป บ่อยครั้งที่การโจมตี เริ่มต้นขึ้น คนเรามักจะขาดสติ และหันมาปกป้องตัวเอง หรือปิดหู ปิดตา ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

6.กำจัดอคติออกจากใจให้หมด ถ้าต้องการที่จะเอาชนะคนสักคน เราต้องทำตัวให้เหมือนหลอดหรือท่อน้ำ น้ำจะใหลผ่านท่อไปได้ก็ต่อเมื่อภายในท่อไม่มีสิ่งกีดขวางทางน้ำไหล เช่นเดียวกัน ตัวเราก็เป็นเหมือนท่อน้ำ อุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางคือ อคติ และความลำเอียง ดังนั้นเพื่อให้ข้อมูลของคนที่เรากำลังอ่านใจสามารถหลั่งไหลออกมาได้อย่างสะดวก เราต้องกำจัดอคติและความลำเอียงให้หมดไป

7.ตัดสินในและลงมือทำ บางครั้งเราไม่สามารถเดาใจคนได้เลย นั่นเป็นเพราะเราไม่กล้าตัดสินใจ แต่ถ้าลองพิจารณา ลองเข้าไปทำความรู้จัก ได้พูดคุยสื่อสารกับเขาดู เราจะค้นพบชิ้นส่วนสุดท้ายที่จะทำให้ สามารถตัดสินใจได้ บางคนไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวด เสียใจจากการตัดสินใจได้ คนที่ไม่กล้าเดาใจผู้อื่น มักจะชลอการตัดสินใจเอาไว้ก่อน และหลอกตัวเองว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยตัวของเขาเอง

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ภาษากาย



















ภาษากาย เป็นช่องทางการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากการสื่อสารในรูปของการพูดหรือการใช้ถ้อยคำสื่อสารกัน ช่องทางดังกล่าวสามารถบอกได้ถึงสถานะของคนสองที่กำลังสื่อสารกันได้ โดยจะถ่ายทอดออกมาจากการเคลื่อนไหวของร่างกาย การแสดงสีหน้า หรือสามารถบ่งชี้ให้ทราบถึงสายสำพันธ์ ระหว่างกันของสมาชิกภายในครอบครับ สมาชิกคนใดคนหนึ่งอาจจะเป็นผู้นำในด้านพฤติกรรมในครอบครัว แม้ว่าคนคนนั้นจะปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำครอบครัวก็ตาม แต่ฟฤติกรรมของเขาเป็นตัวบ่งชี้ว่า เขาเป็นผู้นำครอบครัวโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดสักคำ
















คนที่ดูหรือเห็นภาพที่ทำให้รู้สึกพอใจ รูม่านตาของเขาจะขยายใหญ่ขึ้น โดยไม่รู้ตัวซึ่งเป็นกระบวนการตอบโต้ของร่างกายที่มีต่อสิ่งกระตุ้น นอกจากนี้ภาษากายยังหมายถึง การตอบโต้ของร่างกายโดยทันที ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรวม ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราต้องการสื่ออารมณ์ ความรู้สึกของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้

ในบางครั้งภาษากายก็อาจถูกตีความหมายให้ต่างออกไปจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงควรพิจารณาถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและอารมณ์ความรู้สึกไว้บ้าง เพราะหากยังไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรมของการใช้ภาษากายอาจทำให้เกิดความสับสนกับสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า