วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ท่าถูฝ่ามือ การถูฝ่ามือไปมา เป็นวิธีแสดงถึงความ ...



ท่าถูฝ่ามือ การถูฝ่ามือไปมา เป็นวิธีแสดงถึงความคาดหวังในสิ่งดี ๆ ความเร็วในการถูก็มีความหมายเช่นเดียวกัน ถ้าถูฝ่ามือด้วยความเร็วแสดงว่าคนคนนั้นกำลังคาดหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้รับสิ่งดี ๆ ที่คาดหวังไว้ แต่ถ้าถูฝ่ามือไปอย่างช้า ๆ ความคาดหมายจะเปลี่ยนไป เขาจะเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม และรู้สึกว่าเขาพูดอ้อมค้อมและได้กลิ่นของผลประโยชน์ที่เขาคาดหวังให้ตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้าม แต่บางครั้งการที่เราถูกมือไปมา อาจหมายความว่าเขากำลังหนาว จึงถูกมือและนิ้วเพื่อให้เกิดความอบอุ่น นอกจากจะชอบถูกมือแล้ว คนเรายังชอบถูนิ้วหัวแม่มือและนิ้ว ซึ่งแสดงถึงความคาดหวังเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

ท่านิ้วหัวแม่มือ โดยธรรมชาติแล้ว นิ้วหัวมือมือจะเป็นนิ้วที่แสดงถึง ...




ท่านิ้วหัวแม่มือ โดยธรรมชาติแล้ว นิ้วหัวมือมือจะเป็นนิ้วที่แสดงถึงพลังอำนาจและความเป็นตัวของตัวเอง ความมีอำนาจเหนือผู้อื่น ก้าวร้าว และมักใช้สนับสนุนท่านทางอื่น ๆ เช่น ท่าซุกมือในกระเป๋ากางเกงและยื่นหัวแม่มือออกมา แสดงถึงความลับ สิ่งที่ปกปิดเอาไว้ เรื่องลับลมคมใน หรือพยายามซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ภายใน หรือท่ากอดอกโดยให้นิ้วหัวแม่มือชี้ขึ้น ซึ่งมี 2 ความหมายด้วยกันคือ เป็นการป้องกันตัว กับแสดงความเหนือกว่า เป็นต่อ และมักจะยืนโคลงตัวบนปุ่มนิ้วหัวแม่เท้า นอกจากนั้นนิ้วหัวแม่มือยังเป็นสัญลักษณ์แทนการล้อเลียน ไม่นับถือ เช่น สามีมักใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ไปทางภรรยาของตัวเองเมื่อกล่าวถึงเธอ

ท่าลูบคาง การลูบคางเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินใจ



ผู้ฟังกำลังตัดสินใจในสิ่งที่เขาได้ฟัง ซึ่งในระหว่างที่กำลังมีการตัดสินใจอยู่ ไม่ควรเข้าไปขัดจังหวะ ถ้ามีการลูบคางไปพร้อม ๆ กับกอดอก นั่งไขว่ห้าง หลังพิงเก้าอี้ แสดงว่าเขาตัดสินใจไปในแง่ลบ ถ้าลูกคางและนั่งในท่าเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น แสดงว่าการตัดสินใจของเขาเป็นบวกแน่นอน นอกจากท่าลูบคางแล้ว คนที่สวมแว่นตาจะใช้ประเมินการตัดสินใจด้วย ปากกา นิ้วมือ เมื่อถูกถามถึงการตัดสินใจ แสดงว่าเขาไม่มั่นใจ และต้องการความมั่นคงมากกว่านี้ เพราะการคาบวัตถุต่าง ๆ เอาไว้ เป็นการยืดเวลาการตัดสินใจออกไปก่อน

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ท่าจับมือที่น่าสนใจที่สุดคือการจับมือแบบ 2 มือ

ท่าจับมือที่น่าสนใจที่สุดคือการจับมือแบบ 2 มือ เนื่องจากเป็นท่าที่สามารถแสดงความจริงใจต่ออีกฝ่ายที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญด้วยกันสองส่วน คือส่วนแรก มือซ้ายจะถูกใช้เพื่อสื่อความรู้สึกพิเศษที่จะส่งไปยังฝ่ายตรงข้าม และส่วนที่สอง มือซ้ายจะเริ่มล่วงล้ำเข้าไปในระยะใกล้ชิดของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมากแล้วท่านี้จะพบในหมู่เพื่อนฝูง คนที่มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

คว่ำมือลงหรือกำหมัด การคว่ำมือหรือนั่งแล้วกำหมัด เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าเขากำลังจะเกิดพายุใหญ่แล้ว ดังนั้นควรถอยออกมาให้ห่าง
เขาไว้ก่อน เพราะในตอนนี้เขากำลังโกรธจัด จวนเจียนจะระเบิดมันออกมาแล้ว แต่่ยังคงอดกลั้น แต่ถ้ายังดื้อดึงต่อไปไม่ยอมถอยออกมา ความอดกลั้นของเขาอาจจะสิ้นสุดได้และทำให้สถานะการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

งอนิ้วหัวแม่มือหรือใช้ปลายนิ้วสัมผัสกัน การใช้นิ้วเป็นของเล่นแสดงการเบื่อหน่ายอย่างสุดจะทน ถ้าพบท่าทางดังกล่าวเกิดขึ้นกับใครแล้ว ขอให้รุ้ไว้ว่าเขาทนฟังคำพูดจนเต็มกลืนแล้ว ดังนั้นควรจะรีบ ๆ พูดในสิ่งที่คิดเอาให้จบภายในเวลาอันรวดเร็วที่สุด

การซ่อนมือให้พ้นสายตา บ่อยครั้งที่เราจะพบเห็นคนที่พยายามเอามือซุกซ่อนตามที่ต่าง ๆ เช่นในกระเป๋ากางเกงหรือทำอย่างอื่นเพื่อให้มันพ้นไปไปจากสายตาของคนอื่นแต่สิ่งที่เขาเก็บซ่อนนอกจากมือแล้ว ความรู้สึก อารมณ์ที่ไม่อยากได้ยินเรื่องราวจากคู่สนทนาอีกต่อไปคือ สิ่งที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ เพราะเรื่องราวดังกล่าวอาจสร้างความลำบากใจให้เขาได้ หรือรู้สึกไม่ดีถ้าต้องได้ยินเรื่องนั้น

เอามือประสานแน่นและแนบไว้ข้างลำตัว ลักษณะดังกล่าวหมายถึง โอกาส เขากำลังเล็งเห็นช่องทางที่คิดว่าคำพูดของเขากำลังจะเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งอาจจะหมายถึง ความสำเร็จ ส่วนการประสานมือไว้หลังศีรษะ จะหมายถึงความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขารับรู้ ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าเหตุผลนั้นฟังไม่ขึ้น ให้รีบจัดการแก้ไขข้อมูลใหม่ทันที เพราะเขากำลังไม่แน่ใจในเหตุผลนั้น และการประสานมือไว้ที่หลังต้นคอ แสดงถึงความผ่อนคลาย และการเปิดใจรับ ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้หมายถึงการเริ่มผ่อนคลายลงและพร้อมที่จะเปิดรับอย่างเต็มที่ หรืออาจจะหมายถึงความต้องการที่ได้สนทนาในทางที่สร้างสรรค์กว่าเดิม

ท่ากัดนิ้ว คนที่ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน มักใช้ท่ากัดนิ้วเพื่อระบายความกดดันออกมาและมักจะทำไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากกัดนิ้วแล้ว อาจจะหาของอื่นมากัดแทน เช่น ปากกา บุหรี่ หลอด เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการความมั่นคงทางจิตใจ

จับคางเท้าคาง ใช้ในสถานะการณ์ที่มีความเบื่อหน่ายเริ่มแผ่ออกมา เช่น ในห้องเรียน ห้องประชุม สัมมนาอบรม ผู้ฟังที่เริ่มเบื่อหน่ายจะแสดงอาการออกมาด้วยการเท้าคางเพื่อพยุงไม่ให้ศีรษะเอียงไปมา ซึ่งถ้าศีรษะไม่ตั้งตรง อาจจะทำให้เขาเผลอหลับไปได้ เราจะสังเตได้ว่าคนคนนั้นเบื่อมากน้อยแค่ไหน ได้จากความกว้างของแขนข้างที่เท้าคาง หรือพยุงศีรษะอยู่ แต่ถ้าผู้ฟังเคาะนิ้วบนโต๊ะ หรือเคาะเท้าบนพื้นไปเรื่อยๆ แสดงว่าผู้ฟังเริ่มหมดความอดทนที่ต้องทนฟังอย่างเบื่อหน่ายมานานแล้ว และผู้พูดควรจะหยุดพูดได้แล้ว

ท่าเท้าคางแล้วกางนิ้วชี้ขึ้นด้านบน เมื่อผู้ฟังเอามือเท้าคางโดยใช้นิ้วชี้ชูขึ้น แล้วใชนิ้วหัวแม่มือประคองไว้ใต้คาง แสดงว่าผู้ฟังมีความคิดในแง่ลบและกำลังวิจารณ์ตัวผู้พูดอยู่ โดยปกติแล้วการใช้นิ้วหัวแม่มีอประคองหรือพยุงใต้คาง แสดงถึงความสนใจ แต่การใช้นิ้วชี้ขึ้นด้านบนแสดงถึงการวิพากษ์วิจารณ์

ท่ากำมือแนบข้างแก้มและนิ้วชี้ชี้ขึ้นมา ท่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ฟังไม่ได้สนใจในสิ่งที่กำลังฟังอยู่ แต่ทำทีว่าสนใจเพื่อเป็นการรักษามารยาทในที่ประชุม แต่ท่าทางดังกล่าวนี้ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงได้ ผู้พูดจะรู้ทันทีว่าผู้ฟังไม่จริงใและกำลังประจบประแจง เอาใจด้วยการทำท่าเหมือนสนใจฟัง

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การจับมือ การจับมือเพื่อการทักทายและอำลา




การจับมือเพื่อการทักทายและอำลา เป็นวัฒนธรรมของต่างชาติซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมและเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก จนได้รับการยกย่องเป็นสากล ไม่เว้นแต่ในประเทศที่มีอารยธรรม วัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจ การเจจาตกลง การค้าขายกับต่างชาติยังคงดำเนินต่อไปได้และเป็นไปตามเป้าหมาย เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจ ในวัฒนธรรมการจับมือของต่างชาติไว้บ้าง เพื่อให้เข้าใจในความหมายของท่าทาง ซึ่งจะสื่อไปถึงความรู้สึกของเขาด้วย และเพื่อเป็นการแสดงถึงความเป็นสากล ไม่ใช่พวกล้าหลังให้ชาวต่างชาติได้รับรู้

วัฒนธรรมการจับมือของชาวต่างชาตินั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคโบราณสมัยที่มนุษย์ยังอาศัยอยู่ในถ้ำ เมื่อพวกเขาพบปะกัน จะยกแขนขึ้นเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นมือ ซึ่งแสดงว่าพวกเขาไม่มีอาวุธซ่อนเอาไว้ หรือการทาบมือลงบนหัวใจและท่าอื่น ๆ และสุดท้าย ได้วิวัฒนาการกลายเป็นการจับมือในยุคปัจจุบัน

ในกรณีที่เป็นการพบเจอหน้ากันครั้งแรก การจับมือทักทายตามธรรมเนียมจะสื่อความหมายความรู้สึกแรกพบออกมาได้ทันที บางคนเมื่อพบหน้ากัน จะรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องควบคุมคนคนนั้นให้ได้ และการแสดงความรู้สึกนั้นออกมาด้วยการจับมือแบบข่มขู่ โดยจะจับมือและคว่ำมือของตนเองลง ซึ่งตรงข้ามกับการจับมือแบบยอมจำนนที่จะหงายฝ่ามือขึ้น หรืออาจจะมีความจำเป็นอื่น ๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น เช่น ข้อมืออักเสบ มีปัญหาเกี่ยวกับไขข้อ จึงทำให้ต้องจับในท่าดังกล่าว แต่ถ้ารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามควบคุมด้วยการจับมือและคว่ำมือตนเองลง เพื่อให้เขารู้ว่าขณะนี้เขากำลังเป็นต่อเราอยู่ ซึ่งการที่จะพลิกมือให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ให้แก้ใขด้วยการก้าวท้าวซ้ายรุกเข้าใกล้เขา แล้ววางเท้าซ้ายขวางเท้าขวาเขาไว้ วิธีนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถขัดขืน และพลิกมือให้กลับมาตั้งตรงในตำแหน่งการจับมือตามปกติได้และกลับมาเป็นฝ่ายควบคุมบ้าง

บางครั้งการจับมือเพื่อเป็นการทักทาย ควรพิจารณาก่อนว่าควรเป็นฝ่ายจับก่อนหรือไม่ โดยเฉพาะที่ได้พบกันครั้งแรก เพราะมันอาจส่งผลลบแทนได้ ผู้ที่ถูกจับมือโดยไม่รู้ตัวก่อนล่วงหน้าอาจจะทำให้เขาไม่ยินดีกับการทักทาย หรือแสดงออกหรือท่าทีที่ไม่ประทับใจออกมาได้




นักการเมืองมักจะเป็นกลุ่มคนที่ใช้ท่าจับมือแบบถุงมือมากที่สุด โดยจะยื่นมือออกไปจับก่อนเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความประทับใจว่าเขาเป็นคนน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ มีความซื่อสัตย์ แแต่ไม่เหมาะสมสำหรับคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก เพราะท่าจับมือแบบถุงมือเป็นท่าแสดงความสนิทสนมหรือเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันอย่างดี นอกจากนั้นท่านี้ไม่ควรนำมาใช้อีกท่าหนึ่งคือ การจับือแบบเย็นชา การจับมือด้วยความนุ่มนวลและนิ่ง ไม่มีการเขย่า ลักษณะการจับแบบดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าผู้จับเป็นคนอ่อนแอตรงกันข้ามกับคนที่จับในลักษณะที่แสดงถึงความก้าวร้าว เช่น จับแล้วบีบมือด้วยความรุนแรง

ผู้ที่มีความก้าวร้าวมักจะมีท่าการจับมือที่สามารถสื่อให้เห็นถึงความก้าวร้าวได้ง่าย เช่น ท่ายืนแขนเหยียดตรงออกมาจับมือ เขาจะเหยีดแขนออกมาเพื่อรักษาระยะห่างเอาไว้ ไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามล่วงล้ำอาณาเขตของตนและจะมีการโน้มตัวมาข้างหน้า ส่วนคนที่ชอบจับมือแบบจับแต่นิ้ว จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขาดความมั่นใจมาก จะเห็นได้จากการจับมือว่ามีการรักษาระยะห่างของตัวเองเอาไว้

ท่าฝ่ามือ การใช้ฝ่ามือแทนการแสดงออกของมนุษย์

การใช้ฝ่ามือแทนการแสดงออกของมนุษย์นั้นเป็นท่าทางที่ทรงอำนาจมากที่สุด เนื่องจากการใช้มือจะเป็นการแสดงอำนาจและพลังที่ซ่อนเร้น ซึ่งทำให้คนคนนั้นดูมีอำนาจเหนือคนอื่นเมื่อใช้ในการออกคำสั่งหรือแสดงความจริงใจออกมา


ฝ่ามือของมนุษย์นั้นถือว่าเป็นอวัยวะที่มนุษย์หวงแหน และไม่ค่อยเปิดหรือหงายฝ่ามือขึ้นได้ง่ายนัก ดังนั้นมนุษย์จึงใช้ฝ่ามือในการแสดงอารมณ์โดยเมื่อมนุษย์เริ่มที่จะพูดความจริงออกมา เขาก็จะหงายฝ่ามือบางส่วนหรือทั้งหมดไปยังคู่สนทนาด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่รู้ตัว ในกรณีที่ใช้การหงายฝ่ามือออกในขณะที่พูดโกหกท่าทางที่ออกมาจะมีลักษณะของการโกหก แทนที่จะเป็นท่าทางความซื่อสัตย์หรือจริงใจ แต่คนที่ชอบโกหกหรือเป็นนักมายากล มักจะฝึกการใช้ท่าหงายฝ่ามือได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้สอดคล้องกับกลของเขา ในขณะเดียวกันยิ่งเราหัดการใช้ท่าหงายฝ่ามือมากเท่าไร โอกาสที่เราจะพูดโกหกฏ้จะลดน้อยลงไป และถ้าสามารถอ่านท่าทางขณะพูดของคนอื่นได้ ก็จะสามารถจับโกหกของคนได้เช่นกัน

การหงายฝ่ามือขึ้นแสดงถึงการยอมจำนน ไม่ต้องการคุกคาม แต่ถ้ามีคำขอร้องตามออกมาด้วยท่าทางดังกล่าว จะเป็นการบังคับให้ทำหรือแสดงความเป็นต่อหรือเป็นรองในสถานการณ์นั้น

เมื่อคว่ำฝ่ามือลง จะแสดงถึงอำนาจขึ้นมาทันทีโดยที่ผู้ถูกขอร้องด้วยการคว่ำฝ่ามือ จะรู้สึกว่าเขากำลังถูกออกคำสั่งและตกอยู่ในฐานะเป็นรองอยู่

การนั่ง ในกรณีที่การสนทนาเกิดขึ้นบนเก้าอี้



ในกรณีที่การสนทนาเกิดขึ้นบนเก้าอี้ ถ้าทั้งสองฝ่ายยอมรับหรือสนใจในตัวอีกฝ่ายหนึ่งจริง ๆ จะนั่งไขว่ห้างไปทางที่คู่สนทนานั่งอยู่ และยิ่งทั้งสองคนเริ่มที่จะมีความคิดเห็นที่สอดคล้องหรือเหมือนกัน พวกเขาก็จะเริ่มเลียนแบบท่าทาง การเคลื่อนไหวของกันและกัน ในกรณีที่ต้องการแทรกหรือทำลายรูปแบบปิดของการสนทนาให้หมดไป บุคคลที่สามจะต้องเลื่อนเก้าอี้ไปยังตำแหน่งตรงหน้าของอีกสองคน เพื่อสร้างสามเหลี่ยมขึ้น

นอกจากการนั่งไขว่ห้างเพื่อสื่อถึงความคิดเห็นที่ตรงกันแล้ว การนั่งรูปสามเหลี่ยมแบบเปิดยังเป็นการแสดงท่าทางในลักษณะที่ไม่เป็นทางการเกินไป ดูสบาย ๆ ในการพบปะกัน และยังเป็นท่าทีที่เหมาะสมที่สุดในการตักเตือนหรือให้คำแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสามารถแสดงท่าทางเห็นด้วยกับผู้ใต้บังคับจากการนั่งในรูปแบบนี้ด้วยการเลียนแบบการเคลื่อนไหวและท่าทางของเขา การนั่งโดยให้ลำตัวหันไปหาผู้ใต้บังบัญชาโดยตรง เป็นการแสดงถึงความเอาจริงเอาจัง ต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมา การแสดงออกทางสีหน้าและร่างกายน้อยลง จะทำให้ผู้ใต้บังคับรู้สึกเครียด กดดัน และวิตกกังวลมากกว่าตอนที่เขาทำผิด หรือการหมุนเก้าอี้ให้หันตรงไปทางเขาขณะถามคำถาม ก็สามารถทำให้ลูกน้องเกิดความกดดันได้และสาระภาพความผิดออกมา แต่ถ้านั่งเก้าอี้และหมุนให้เก้าอี้หันออกจากลูกน้อง แล้วเปลี่ยนมาเป็นหันศีรษะเข้าหาเขาแทน จะทำให้เขาลดความกดดัีนลงไป ซึ่งท่าที่เหมาะสมกับการถามคำถามที่มีความละเอียดอ่อนหรืออ่อนไหวได้ง่าย เพราะจะทำให้ได้รับคำตอบที่เปิดเผยมากกว่าเดิม



การนั่งและการหันปลายเท้า การหันปลายเท้านอกจากจะเป็นแสดงทิศทางที่ต้องการไปแล้วยังหมายถึง บุคคลที่น่าสนใจด้วย หนุ่ม ๆ ที่ยืนรุมแจกขนมจีบสาวคนหนึ่ง ดูภายนอกก็เหมือนกับว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายกำลังความคุมสถานะการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ เพราะพวกเขาพยายามพูดคุยกับหญิงสาวคนเดียวในกลุ่ม โดยที่ฝ่ายสาวเจ้า ไม่พูดอะไรเลยนอกจากยืนยิ้ม แต่ถ้าสังเกตที่ปลายเท้า จะพบว่าปลายเท้าของพวกหนุ่ม ๆ ทุกคนจะหันไปหาสาวคนนี้ ซึ่งแสดงว่าทุกคนกำลังสนใจในตัวเธอ และเธอเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความสนใจที่มีต่อตัวเธอ และจะยังคงยืนอยู่ในกลุ่มนั้นต่อไปตราบใดที่เธอยังคงเป็นที่น่าสนใจ และอาจจะหันปลายเท้าหรือเหลือบมองหนุ่มที่เธอสนใจอยู่เช่นเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การหัน เวลาที่เรากำลังพูดกับใครสักคน

เวลาที่เรากำลังพูดกับใครสักคน เคยสังเกตหรือไม่ว่าเขาให้ความสนใจหรือความสำคัญการการสนทนากับเราจริงหรือ? หรือเขากำลังสนใจสิ่งอื่นอยู่ในขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับเรา ข้อสังเกตง่าย ๆ ว่าคู่สนทนาของเราจะไม่สนใจเราในขณะที่พูด แม้ว่าท่าทางของเขาดูสนุกสนานกับการพูดคุยกับเราอยู่ คนที่เริ่มสนใจสิ่งอื่นมากกว่าคู่สนทนาของตัวเองจะหันศีรษะไปจากผู้พูด



ยิ้มและมีการโต้ตอบด้วยการพยักหน้า แต่ลำตัวและเท้าของเขาจะหันหน้าออกจากผู้พูด โดยลำตัวหรือปลายเท้าเขาจะหันไปทางอื่น หรือสิ่งที่เขาอยากจะเดินไป เช่น ทางออก ประตู ซึ่ง เป็นท่าเตรียมของเท้า เมื่อเวลาเขาตัดสินใจยุติการสนทนา เขาจะหันลำตัวหรือหมุนเท้าออกไปหาทางออกที่ใกล้ที่สุด ดังนั้นถ้าผู้พูดเข้าใจภาษากายที่เขาสื่อออกมา ก็ควรที่จะรีบจบบทสนทนา หรือถ้าต้องการจะยื้อเวลาสนทนาออกไป ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่ายกลับมาให้ได้ ซึ่งจะทำให้เรากลับมาเป็นฝ่ายควรคุมการสนทนานั้นได้

การหันแบบสามเหลี่ยมมุมเปิด มุมการหันของลำตัวขณะสนทนาจะแสดงเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ท่าทางและความสัมพันธ์ของคนสองคนที่กำลังยืนสนทนากัน โดยยืนทำมุมเป็นรุปสามเหลี่ยม โดยหันปลายเท้าและลำตัวไปยังจุดเดียวกัน เพื่อเป็นการแสดงให้รู้ว่าพวกเขาเชื้อเชิญให้บุคคลที่ 3 เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย และแสดงให้เห็นถึงสถานภาพที่เท่าเทียมกัน การเชื้อเชิญและแสดงถึงความเท่าเทียมกันในวงสนทนา จะเป็นการประกาศว่ามีวงสนทนาแบบมุมเปิดเกิดขึ้นแล้ว และทุกคนสามารถเข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ และเมื่อมีบุคคลที่ 4 ตามเข้ามาร่วมวง รูปสามเหลี่ยมก็จะกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยม และวงกลม หรือ สามเหลี่ยมสองรูป ทันทีเมือมีบุคคลที่ 5 เข้ามา

การสนทนาแบบมุมปิด เมื่อคนสองคนต้องการพูดคุยอย่างเป็นการส่วนตัวหรือมีความใกล้ชิด สนิทสนมกัน ลำตัวและปลายเท้าของพวกเขาจะหันเข้าหากัน และยืนอยู่ในระยะใกล้ชิด ฝ่ายตรงข้ามจะยอมให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาในอาฯาเขตของตัวเองด้วยความเต็มใจ เพื่อเป็นการยอมรับในการเข้ามาของอีกฝ่าย คนที่ยืนแบบปิดจะยืนใกล้กันถึงขั้นแทบจะแนบชิดหรือหายใจรดต้นคอกันได้ ซึ่งต่างไปจากการยืนสนทนาในแบบมุมเปิดที่เป็นการสนทนาในระดับทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความใกล้ชิดกัน นอกจากจะแทนความหมายด้านดีแล้ว การยืนมุมปิดยังหมายถึงท่าทางที่ใช้ท้าทายกันของคนที่ไม่ถูกกัน หรือเป็นศัตรูกัน

การยืนแบบเปิดรับและกันบุคคลที่สามออกจากวงสนทนา การยืนในลักษณะแบบมุมเปิดก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นมุมปิดภายหลัง เป็นการกำหนดและการควบคุมบุคคลที่สามที่เข้ามาร่วมวงสนทนา หรือกันบุคคลที่สามออกไป ในกรณีที่บุคคลที่สามต้องการเข้าร่วมวงสนทนา จะต้องพิจารณาก่อนว่าคนสองคน ที่กำลังสนทนากันอยู่นั้นยืนแบบเปิดหรือปิด ถ้าสองคนแรกยืนและหันปลายเท้ามายังจุดที่สาม จนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยม แสดงว่า พวกเขายินยอมให้บุคคลที่สามเข้ามาร่วมพูดคุยได้ แต่ถ้าทั้งสองคนยืนแบบมุมปิดหรือหันปลายเท้าและลำตัวเข้าหากันเอง ยืนอยู่ในระยะใกล้ชิด และพวกเขามีศีรษะเท่านั้นที่หันมาทางบุคคลที่สาม แสดงว่าพวกเขาไม่ต้องการบุคคลที่สาม ในวงสนทนาของพวกเขา แต่บางครั้งในวงสนทนาก็เริ่มต้นจากสามเหลี่ยมแบบเปิดก่อน แต่หลังจากนั้นก็อาจเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบปิดไป เพื่อกันบุคคลที่สาม ออกไปจากวงสนทนาของคนสองคน ซึ่งบุคคลที่สามจะรู้สึกได้ว่าตนเองควรที่จะผละออกไปจากวงสนทนาได้แล้ว

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลักษณะท่าทางต่าง ๆ




โดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะมีการเปลี่ยนแปลงท่าต่าง ๆ ประมาณ 2-4 ท่า ในระยะเวลา 20 นาที แต่นักจิตวิทยาที่นั่งให้คำปรึกษาผู้คนนั้น จะเปลี่ยนท่าเพียงท่าเดียวตลอดเวลา 20 นาที และในระหว่างการสนทนาก็มักจะนั่งพิงพนักเก้าอี้ แขน ขาไหว้กัน เพื่อแสดงว่าเขากำลังตั้งใจฟังคนไข้ของเขาอยู่ แต่เมื่อเขาฟังจนมาถึงจุดที่เขามีความไม่เห็นด้วย จึงเปลี่ยนท่าทางหรือมีการเคลื่อนไหวเพื่อเป็นการบอกใบ้ จากนั้นก็จะโน้มตัวไปข้างหน้า ปล่อยมือและขาที่ประสานหรือพันกันออกมา



และอาจจะยกนิ้วชู้ขึ้นเมื่อต้องการโต้แย้ง และเมื่อโต้แย้งแล้วก็จะแอนหลังไปพิงพนักเก้าอีเหมือนเดิม นั่งไขว้ขา กอดอก ถ้าเอนหลังจะไม่ไขว้ขา แสดงว่าเขากำลังเปิดโอกาสให้แนะนำหรือเสนอความคิดเห็นได้

เมื่อคนเราพูดคุยกันได้ระยะหนึ่งแล้ว จะจบหรือยุติการสนทนาลงช่วงหนึ่ง และจบด้วยการเคลื่อนไหวหรือย้ายสถานที่ เช่น ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เดินออกไปจากห้อง เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเป็นการขัดจังหวะการสนทนา และเมื่อทั้งสองฝ่ายกลับมาที่เดิมอีกครั้ง จึงเริ่มสนทนาขึ้นใหม่อีกครั้งหรือดำเนินการสนทนาต่อไป


ในบางครั้งภาษาท่าทางที่แสดงออกมาก็มีความสัมพันธ์กับอารมณ์ของผู้แสดงอาการนั้น ๆ ซึ่งคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจในภาษาท่าทางดีนัก ก็จะสามารถเข้าใจในความหมายของท่าทางสภาวะอารมณ์แทน บางครั้งในระดับจิตสำนึกแล้ว เราไม่อาจรู้มาก่อนเลยว่า กิริยาท่าทางที่เราเห็นนั่นหมายถึงอะไร แต่ในระดับของจิตใต้สำนึกแล้ว เราสามารถรับรู้และเข้าใจในท่าทางที่สื่อออกมาได้ ดังนั้นเราจึงพอสรุปประเด็นนี้ได้ว่า เราไม่สามารถให้คำจำกัดความหรือความหมายของท่าทางต่าง ๆ ได้เสมอไป แต่สามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อใดที่เห็นท่าทางแบบนี้ มักจะมีความหมายถึงอะไรบ้าง เมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เรารู้เพียงแค่ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น จึงจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ ในความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วพยายามรวบรวมสรุปออกมาให้ได้

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พฤติกรรมการเลียนแบบท่าทาง พบได้มากในวงสังคมหรือการจับกลุ่มคุยกัน



พฤติกรรมการเลียนแบบท่าทาง พบได้มากในวงสังคมหรือการจับกลุ่มคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งการเลียนแบบท่าทางนี้ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาเห็นด้วยกับผู้พูด และมักจะเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัวกัน การเลียนแบบท่าทางจะดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดทั้งสองฝ่ายจะเริ่มตรงข้ามกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งยืนกอดอก อีกฝ่ายหนึ่งจะกอดอกตาม และเมื่อฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนเอามือมาล้วงกระเป๋าอีกฝ่ายก็จะทำตามทันที การเลียนแบบท่าทางนี้จะพบได้มากในกลุ่มคนที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน มีความสนิทสนมกัน เป็นเพื่อน เป็นคนรู้ใจ หรือเป็นคนรักกัน พวกเขามักจะยืน เดิน นั่ง หรือเคลื่อนไหวร่างกายไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่รู้ตัว

นอกจากนั้นการเลียนแบบท่าทาง ยังสามารถลดบรรยากาศความตึงเครียดได้ดี โดยเฉพาะคนที่ระดับชั้นต่างกันด้วยการเลียนแบบคนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า แต่ทั้งนี้การเลียนแบบท่าทางต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ว่าการเลียนแบบนี้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ เพราะการเลียนแบบท่าทางคนที่มีอำนาจหน้าที่เหนือกว่าตนเอง จะทำให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกข่มขู่และดูหมิ่น เหยียดหยามอำนาจหน้าที่ของเขาได้ แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน สามารถเลียนแบบท่าทางเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ทั้งสองฝ่ายมีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน

การย่อตัว

การย่อตัวหรือทำให้ร่างกายของเราอยู่ต่ำกว่าบุคคลอื่น เป็นการสื่อสารถึงการยินยอม หรือยอมรับในความเหนือกว่าของบุคคลนั้น ยิ่งรู้สึกด้อยกว่าหรือเป็นรองเท่าไร การย่อตัวลงก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นประชาชนหมอบกราบหรือย่อตัวลงให้ต่ำสุดเมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ หรือมีการถวายความเคารพต่อพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์

นอกจากนี้การย่อตัวลงยังเป็นการลดความก้าวร้าว การข่มขู่ลง เมื่อมีการลดตัวหรือย่อตัวลง จะทำให้อีกฝ่ายซึ่งอาจมีอำนาจเหนือกว่าไม่รู้สึกว่าถูกข่มขู่หรือถูกคุกคาม เขาจะไม่ใช้อำนาจเล่นงานกลับมา โดยธรรมชาติแล้วเมื่อคนเรามีสถานภาพที่เหนือกว่าเมื่อเขาอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ดังนั้นเพื่อให้การเข้าถึงอีกฝ่ายประสบความสำเร็จ ควรแสดงท่าทางยอมตกอยู่ในสภาพเป็นรองจะดีกว่า

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โกหก บางครั้งคนเราอาจจะพูดความจริงไม่ได้




โกหก บางครั้งคนเราอาจจะพูดความจริงไม่ได้ การโกหกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น คำพูดที่ออกมาจากปาก จะกลายเป็นข้อมูลผิด ๆ และทำให้การคาดเดานิสัยใจคอ ทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิดของคนคนหนึ่งอาจผิดพลาด หรือเกิดการคลาดเคลื่อนไปได้ ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักการจับโกหกให้เป็น เพื่อป้องกันการคาดเดาที่อาจจะผิดพลาดได้

โกหกบ้างเป็นครั้งคราว

การโกหกเป็นครั้งคราว ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ตนไม่พอใจหรือไม่ชอบใจ และมักจะรู้สึกไม่สบายใจและไม่อยากจะโกหกสักเท่าไร และด้วยความไม่สบายใจนี่เอง ที่เผยให้เห็นพิรุธ ที่อาแสดงออกมาผ่านทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงได้ แต่ในบางครั้งคำโกหกก็ดูแนบเนียนมากจนเราไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะโกหกได้มีการคิดมาแล้ว จึงทำให้คำพูดที่ออกมาดูดี มีเหตุผลและสามารถประติดประต่อเรื่องราวกันได้อย่างดี คนที่โกหกเป็นครั้งคราว มักจะไม่โกหกในเรื่องที่สามารถจับพิรุธได้ง่าย ๆ แต่ให้สังเกตจากท่านทางและวิธีการพูดของเขาให้ดี

โกหกเป็นประจำ

คนที่ชอบโกหกเป็นประจำ รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่จะไม่รู้สึก หรือสนใจในการกระทำของตนเอง ดังนั้นการโกหกของเขา จึงมีความบ่อยครั้งกว่าและมีความสมบูรณ์แบบกว่าแบบแรก ไม่ค่อยแสดงพิรุธออกมาทางสีหน้่ ท่าทาง หรือน้ำเสียง ไม่รู้สึกกดดันหรือวิตกกังวลที่จะต้องโกหก การแสดงออกของเขาจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากจนยากที่จะแยกแยะได้ ให้ความสำคัญกับเรื่องของความถูกต้อง ตรงกัน และความมีเหตุผลของเรื่องโกหกของเขา และไม่ค่อยระมัดระวัง จึงอาจจะพูดอะไรเหลวไหลไปบ้าง

โกหกจนเป็นนิสัย

ความถี่ของการโกหกจะมีมากจนกระทั่งตัวเองยังไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ นั่นเป็นเพราะเขาโกหกบ่อยมาก เกือบจะตลอดเวลา เกือบทุกครั้ง รู้ตัวว่ากำลังโกหกอยู่ แต่ไม่ใส่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริืงหรือโกหก ไม่ค่อยเปิดเผยพิรุธ ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังโกหกอยู่ ไม่มีการเก็บรายละเอียดของสิ่งที่พูดให้ตรงกัน คำพูดไม่ค่อยสอดคล้องกัน และเห็นได้ชัดว่าเขาโกหก ดังนั้นในการจับผิดคนโกหกลักษณะนี้ จะต้องพยายามหาข้อผิดพลากจากเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะแน่นอนของเขา

โกหกจนเป็นอาชีพ

การโกหกในลักษณะนี้เป็นลักษณะที่จับผิดได้ยากมากที่สุด เพราะเขาจะเป็นคนที่โกหกอย่างมีวัตถุประสงค์ ไม่ได้โกหกอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อย มักจะคิดถึงที่เขาโกหกมาก่อนหน้าแล้ว และรุ้ตัวดีว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ต้องโกหกอย่างไร และรู้ว่าจะถูกจับผิดได้ง่ายอย่างไร ดังนั้นคนประเภทนี้จะฝึกฝนการโกหกมาอย่างดีจนไม่เผยพิรุธออกมาทางสีหน้า ท่าทาง และนำ้เสียง คำพูดของเขาจะมีความสอดคล้องกันอย่างส่ำเสมอ และมีความเป็นเหตุเป็นผล วิธีเดียที่จะจับผิดเขาได้คือ การนำคำพูดของเขาไปเทียบกับแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

กิริยาอาการของคนโกหกจะแสดงออกมาได้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ ปิดปาก ตา่ หรือ หู และจะสามารถสังเกตได้ง่าย มองเห็นได้อย่างชัดในเด็ก ๆ แต่เมื่อเขาโตขึ้น ลักษณ์การหลอกลวงของเขาจะมีความสุภาพและสังเกตได้ยากขึ้น แต่การที่มือไปสัมผัสใบหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกท่าเป็นอาการของการโกหกเสมอไป

ท่าปิดปากหรือป้องปาก

จะเป็นท่าที่ผู้ใหญ่ใช้กันซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนโดยจะเอามือปิดปากหรือป้องปาก นิ้วหัวแม่มือกดอยู่ที่แก้มในขณะที่พยายามคิดหาทางปกปิดคำโกหกที่พูดออกมา แต่บางครั้งท่านี้ก็แค่ใช้นิ้วหรือกำปั้นปิดปาก ถ้าเราป้องปากขณะพูด แสดงว่าเรากำลังโกหกอยู่ แต่ถ้าเรากำลังพูดอยู่ ผู้ฟังเกิดป้องปากหรือปิดปาก แสดงว่าเขากำลังรู้สึกว่าเราโกหก

ท่าถูจมูก

การถูจมูกเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งหรือถูเร็ว ๆ เพียงครั้งเดียว เป็นท่าที่ดัดแปลงมาจากการป้องปาก โดยมีต้นกำเนิดมาจากการที่มีความคิดในแง่ลบ จิตใต้สำนึกจะสั่งให้เอามือปิดปาก แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก จึงเลื่อนมือขึ้นมาเหนือปากเล็กน้อย ซึ่งจะตรงกับบริเวณใต้ปลายจมูก หรืออาจเป็นเพราะการโกหกทำให้เส้นประสาทบริเวณจมูกเกิดการชา จึงต้องถูกเพื่อให้หายชา ส่วนอาการคันจมูก นั่นคือ ถ้าเขารู้สึกคันจริง ๆ จะถูด้วยความรุนแรง หรือเกา ซึ่งต่างไปจากการลูกหรือถูจมูกเบา ๆ

ท่าขยี้ตา

เกิดจากการที่สมองสั่งการให้ร่างกายพยายามบิดบังความจริงเอาไว้ หรือพยายามโกหกหลอกลวง หรือเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาหรือมองหน้าคนที่เขากำลังโกรธ สำหรับผู้ชายนั้นเวลาโกหกมักจะขยี้ตาแรง ๆ และมองพื้นบ่อย ๆ หรือไม่ยอมสบตาขณะที่พูดโกหก ส่วนผู้หญิงจะถูเบา ๆ ช้า ๆ ใต้ดวงตา เพื่อไม่ให้ดูก้าวร้าวเกินไปและป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางเปื้อนและหลบตาด้วยการมองเพดาน

ท่าจับใบหู

เป็นท่าที่แสดงให้ผู้พูดทราบว่า ในขณะนี้ผู้ฟังไม่อยากฟังในสิ่งที่ได้ยินอีกแล้ว และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยการเอามือปิดหู ถูข้างหลังใบหู ไชเข้าไปในรูหู ดึงติ่งหูเล่นดึงใบหูมาปิดรูหู ท่าทางเหล่านี้นอกจากจะหมายถึง ผู้ฟังได้ฟังมาพอแล้ว และยังหมายถึงอยากที่จะเป็นฝ่ายพูดบ้าง

ท่าเกาคอ

เราจะพบท่านี้บ่อยเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า "ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเห็นด้วยกับคุณ" เพราะท่านทางดังกล่าวแสดงถึงความไม่แน่ใจ สังสัยโดยใช้นิ้วชี้มือข้างที่ถนัดเกาบริเวณข้างคอหรือต่ำกว่าติ่งหูลงมาและมักจะเกาประมาร 5-6 ครั้งเท่านั้น

ท่าถูต้นคอหรือตบต้นคอ

คนที่กำลังโกหกจะพยายามหลบเลี่ยงสายตาด้วยการจ้องมองพื้น หรือหลบตามองต่ำกว่าระดับปกติ จะแสดงท่าการใช้มือถูต้นคอด้านหลังหรือตบเบา ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังปวดต้นคออยู่ เขาเริ่มกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยการตบที่หลังเบา ๆ จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นการถูต้นคอ

การตบศีรษะ หน้าฝาก หรือต้นคอ

เป็นการทำโทษตัวเองที่ลืมทำในสิ่งที่ได้รับมอยบหมายมา แต่ยังสื่อได้อีกหลายความหมาย เช่น ถ้าเขาตบหน้าฝาก แสดงว่าเขาลืมทำ ไม่ได้ไปกดดันหรือบีบคั้นเขา แต่ถ้าเขตบหลังคอ แสดงว่าเขารู้สึกว่ามีใครกำลังโมโหหรือโกรธเขาอยู่ คนที่ชอบตบต้นคอ มักจะมีแนวโน้มจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย และชอบวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่การถูหน้าผาก เมื่อทำผิดจะเป็นคนง่าย ๆ เปิดเผยมากกว่า

กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ



กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ และเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายใจ เราจะหาอะไรทำเพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว เนื่องจากคนที่กระวนกระวายมักต้องการปลดปล่อยพลังงานออกมา คนที่รู้สึกกระวนกระวาย มักใช้สายตามองไปข้างหน้าและหลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายเกิดความตึงเครียด นั่งคุ้ดคู้ ไขว้ขาและมือสลับกันไปมา หักนิ้วเล่น ใช้มือจับวัสดุต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ บิดมือ กระแอมไอ ยิ้ม พูดแบบกระวนกระวาย สั่น เหงื่อแตก เอามือล้วงกระเป๋า นิ่งเฉย

โศกเศร้าเสียใจ หลายคนคิดว่าความหดหู่กับความโศกเศร้าเป็นอารมณ์เดียวกัน



โศกเศร้าเสียใจ หลายคนคิดว่าความหดหู่กับความโศกเศร้าเป็นอารมณ์เดียวกัน แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่หดหู่ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเสียใจเสมอไป ส่วนมากแล้วความโศกเศร้า เกิดจากความสูญเสีย และมันจะเข้ามามีอิธิพลต่อจิตใจ คือ ร้องไห้ ไม่สามารถประกอบกิจกรรม หรือหน้าที่การงานได้ แยกตัวและเก็บตัว เย็นชา ตาหลุบต่ำ ไม่ค่อยเสดงสีหน้า หรือ อารมณ์บนใบหน้า ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างการ แต่สำหรับคนที่ผ่านความโศกเศร้ามาแล้ว มักมีอาการเคลื่อนไหวร่างกายเกินจริง พูดเร็ว เปลี่ยนหัวข้อที่พูดคุยเร็วเพื่อให้คลายโศกเศ้รา้และรักษาระดับการสนทนาเอาไว้

หดหู่ หรือซึมเศร้า เป็นอาการที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน




หดหู่ หรือซึมเศร้า เป็นอาการที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน เมื่อเราพบความผิดหวังหรือมีความเครียด ความกดดัน สะสมไว้มาก ๆ แต่อาการหดหู่รุนแรง อาจกลายเป็นโรคได้ คนที่เป็นโรคนี้จะไม่ยอมทำอะไรเลย ไม่กิน ไม่นอน ไม่สนใจตัวเอง ต้องได้รับการบำบัดจิตใจเท่านั้น จึงจะทำให้อาการทุเลาลงหรือหายได้ การสังเกตเบื้องต้นสำหรับอาการหดหู่ซึมเศร้าคือ จะมีลักษณะการเคลื่อนไหวร่างกายต่างไปจากคนอื่น ผิดธรรมชาติ ไม่ค่อยกระพริบตา เหนื่อยหน่าย ไม่ชอบเข้าสังคม เก็บตัว กระสับกระส่าย ไม่สนใจอะไรและไม่มีการวางแผนล่วงหน้า พูดเสียงทุ้มต่ำ หรือกลายเป็นคนเงียบ ตาหลุบต่ำ เคลื่อนไหวช้า พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ไม่สนใจตัวเอง ขี้ลืม