วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โกหก บางครั้งคนเราอาจจะพูดความจริงไม่ได้




โกหก บางครั้งคนเราอาจจะพูดความจริงไม่ได้ การโกหกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น คำพูดที่ออกมาจากปาก จะกลายเป็นข้อมูลผิด ๆ และทำให้การคาดเดานิสัยใจคอ ทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิดของคนคนหนึ่งอาจผิดพลาด หรือเกิดการคลาดเคลื่อนไปได้ ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักการจับโกหกให้เป็น เพื่อป้องกันการคาดเดาที่อาจจะผิดพลาดได้

โกหกบ้างเป็นครั้งคราว

การโกหกเป็นครั้งคราว ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ตนไม่พอใจหรือไม่ชอบใจ และมักจะรู้สึกไม่สบายใจและไม่อยากจะโกหกสักเท่าไร และด้วยความไม่สบายใจนี่เอง ที่เผยให้เห็นพิรุธ ที่อาแสดงออกมาผ่านทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงได้ แต่ในบางครั้งคำโกหกก็ดูแนบเนียนมากจนเราไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะโกหกได้มีการคิดมาแล้ว จึงทำให้คำพูดที่ออกมาดูดี มีเหตุผลและสามารถประติดประต่อเรื่องราวกันได้อย่างดี คนที่โกหกเป็นครั้งคราว มักจะไม่โกหกในเรื่องที่สามารถจับพิรุธได้ง่าย ๆ แต่ให้สังเกตจากท่านทางและวิธีการพูดของเขาให้ดี

โกหกเป็นประจำ

คนที่ชอบโกหกเป็นประจำ รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่จะไม่รู้สึก หรือสนใจในการกระทำของตนเอง ดังนั้นการโกหกของเขา จึงมีความบ่อยครั้งกว่าและมีความสมบูรณ์แบบกว่าแบบแรก ไม่ค่อยแสดงพิรุธออกมาทางสีหน้่ ท่าทาง หรือน้ำเสียง ไม่รู้สึกกดดันหรือวิตกกังวลที่จะต้องโกหก การแสดงออกของเขาจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากจนยากที่จะแยกแยะได้ ให้ความสำคัญกับเรื่องของความถูกต้อง ตรงกัน และความมีเหตุผลของเรื่องโกหกของเขา และไม่ค่อยระมัดระวัง จึงอาจจะพูดอะไรเหลวไหลไปบ้าง

โกหกจนเป็นนิสัย

ความถี่ของการโกหกจะมีมากจนกระทั่งตัวเองยังไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ นั่นเป็นเพราะเขาโกหกบ่อยมาก เกือบจะตลอดเวลา เกือบทุกครั้ง รู้ตัวว่ากำลังโกหกอยู่ แต่ไม่ใส่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริืงหรือโกหก ไม่ค่อยเปิดเผยพิรุธ ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังโกหกอยู่ ไม่มีการเก็บรายละเอียดของสิ่งที่พูดให้ตรงกัน คำพูดไม่ค่อยสอดคล้องกัน และเห็นได้ชัดว่าเขาโกหก ดังนั้นในการจับผิดคนโกหกลักษณะนี้ จะต้องพยายามหาข้อผิดพลากจากเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะแน่นอนของเขา

โกหกจนเป็นอาชีพ

การโกหกในลักษณะนี้เป็นลักษณะที่จับผิดได้ยากมากที่สุด เพราะเขาจะเป็นคนที่โกหกอย่างมีวัตถุประสงค์ ไม่ได้โกหกอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อย มักจะคิดถึงที่เขาโกหกมาก่อนหน้าแล้ว และรุ้ตัวดีว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ต้องโกหกอย่างไร และรู้ว่าจะถูกจับผิดได้ง่ายอย่างไร ดังนั้นคนประเภทนี้จะฝึกฝนการโกหกมาอย่างดีจนไม่เผยพิรุธออกมาทางสีหน้า ท่าทาง และนำ้เสียง คำพูดของเขาจะมีความสอดคล้องกันอย่างส่ำเสมอ และมีความเป็นเหตุเป็นผล วิธีเดียที่จะจับผิดเขาได้คือ การนำคำพูดของเขาไปเทียบกับแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

กิริยาอาการของคนโกหกจะแสดงออกมาได้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ ปิดปาก ตา่ หรือ หู และจะสามารถสังเกตได้ง่าย มองเห็นได้อย่างชัดในเด็ก ๆ แต่เมื่อเขาโตขึ้น ลักษณ์การหลอกลวงของเขาจะมีความสุภาพและสังเกตได้ยากขึ้น แต่การที่มือไปสัมผัสใบหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกท่าเป็นอาการของการโกหกเสมอไป

ท่าปิดปากหรือป้องปาก

จะเป็นท่าที่ผู้ใหญ่ใช้กันซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนโดยจะเอามือปิดปากหรือป้องปาก นิ้วหัวแม่มือกดอยู่ที่แก้มในขณะที่พยายามคิดหาทางปกปิดคำโกหกที่พูดออกมา แต่บางครั้งท่านี้ก็แค่ใช้นิ้วหรือกำปั้นปิดปาก ถ้าเราป้องปากขณะพูด แสดงว่าเรากำลังโกหกอยู่ แต่ถ้าเรากำลังพูดอยู่ ผู้ฟังเกิดป้องปากหรือปิดปาก แสดงว่าเขากำลังรู้สึกว่าเราโกหก

ท่าถูจมูก

การถูจมูกเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งหรือถูเร็ว ๆ เพียงครั้งเดียว เป็นท่าที่ดัดแปลงมาจากการป้องปาก โดยมีต้นกำเนิดมาจากการที่มีความคิดในแง่ลบ จิตใต้สำนึกจะสั่งให้เอามือปิดปาก แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก จึงเลื่อนมือขึ้นมาเหนือปากเล็กน้อย ซึ่งจะตรงกับบริเวณใต้ปลายจมูก หรืออาจเป็นเพราะการโกหกทำให้เส้นประสาทบริเวณจมูกเกิดการชา จึงต้องถูกเพื่อให้หายชา ส่วนอาการคันจมูก นั่นคือ ถ้าเขารู้สึกคันจริง ๆ จะถูด้วยความรุนแรง หรือเกา ซึ่งต่างไปจากการลูกหรือถูจมูกเบา ๆ

ท่าขยี้ตา

เกิดจากการที่สมองสั่งการให้ร่างกายพยายามบิดบังความจริงเอาไว้ หรือพยายามโกหกหลอกลวง หรือเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาหรือมองหน้าคนที่เขากำลังโกรธ สำหรับผู้ชายนั้นเวลาโกหกมักจะขยี้ตาแรง ๆ และมองพื้นบ่อย ๆ หรือไม่ยอมสบตาขณะที่พูดโกหก ส่วนผู้หญิงจะถูเบา ๆ ช้า ๆ ใต้ดวงตา เพื่อไม่ให้ดูก้าวร้าวเกินไปและป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางเปื้อนและหลบตาด้วยการมองเพดาน

ท่าจับใบหู

เป็นท่าที่แสดงให้ผู้พูดทราบว่า ในขณะนี้ผู้ฟังไม่อยากฟังในสิ่งที่ได้ยินอีกแล้ว และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยการเอามือปิดหู ถูข้างหลังใบหู ไชเข้าไปในรูหู ดึงติ่งหูเล่นดึงใบหูมาปิดรูหู ท่าทางเหล่านี้นอกจากจะหมายถึง ผู้ฟังได้ฟังมาพอแล้ว และยังหมายถึงอยากที่จะเป็นฝ่ายพูดบ้าง

ท่าเกาคอ

เราจะพบท่านี้บ่อยเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า "ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเห็นด้วยกับคุณ" เพราะท่านทางดังกล่าวแสดงถึงความไม่แน่ใจ สังสัยโดยใช้นิ้วชี้มือข้างที่ถนัดเกาบริเวณข้างคอหรือต่ำกว่าติ่งหูลงมาและมักจะเกาประมาร 5-6 ครั้งเท่านั้น

ท่าถูต้นคอหรือตบต้นคอ

คนที่กำลังโกหกจะพยายามหลบเลี่ยงสายตาด้วยการจ้องมองพื้น หรือหลบตามองต่ำกว่าระดับปกติ จะแสดงท่าการใช้มือถูต้นคอด้านหลังหรือตบเบา ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังปวดต้นคออยู่ เขาเริ่มกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยการตบที่หลังเบา ๆ จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นการถูต้นคอ

การตบศีรษะ หน้าฝาก หรือต้นคอ

เป็นการทำโทษตัวเองที่ลืมทำในสิ่งที่ได้รับมอยบหมายมา แต่ยังสื่อได้อีกหลายความหมาย เช่น ถ้าเขาตบหน้าฝาก แสดงว่าเขาลืมทำ ไม่ได้ไปกดดันหรือบีบคั้นเขา แต่ถ้าเขตบหลังคอ แสดงว่าเขารู้สึกว่ามีใครกำลังโมโหหรือโกรธเขาอยู่ คนที่ชอบตบต้นคอ มักจะมีแนวโน้มจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย และชอบวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่การถูหน้าผาก เมื่อทำผิดจะเป็นคนง่าย ๆ เปิดเผยมากกว่า