วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พฤติกรรมในสาธารณะ

ใบหน้าที่แสดงออกต่อโลกภายนอก มักไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง แต่สิ่งที่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงก็คือ เสื้อผ้า การแต่งกาย ทรงผมต่างหาก เป็นที่ยอมรับกันว่า คนที่แต่งกายดูดี สะอาดสะอ้าน จังแต่งทรงผมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จะเป็นบุคคลที่สะดุดตาคนทั่ว ๆ ไป แต่ใบหน้าที่แสดงออกในที่สาธารณะ กลับเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง ที่อยู่ในใจ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง เห็นแก่ตัว



แต่ในบางเวลาซึ่งอยู่ในสภาวะที่เร่งรีบ หน้ากากที่สงบอยู่ หลุดออกมาเผยให้เห็นความชั่วร้าย ต่ำทราม ของจิตใจในชั่วขณะหนึ่ง ในเวลานั้นคนเรามักแสดงตัวจริง ๆ ออกมา มีการป้องกันตัวและแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมาจนลืมใบหน้าอันเงียบสงบ นิ่งเฉย ของหน้ากากไปทั้งหมด ฟฤติกรรมที่เผยออกมานี้ สามารถสังเกตได้ในสถานะการณ์ที่มีแต่การแข่งขันเร่งรีบ ทุกอย่างจะเผยออกมาทางใบหน้าทั้งหมด



ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม จะช่วยปิดบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เอาไว้ ในขณะที่เราพยายามควบคุมตัวเองอย่างระมัดระวัง แต่ร่างกายกลับทรยศด้วยการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ซึ่งมันเผยให้เห็นจิตใจที่แท้จริงภายใต้รอยยิ้ม

ตามธรรมชาติแล้วรอยยิ้มหมายถึง ความสุข ความพอใจ แสดงถึงการขอโทษ การป้องกันตัว หรือการขอร้องให้ยกโทษให้ วันทั้งวันที่เรายิ้ม จึงไม่ได้หมายความว่าเรากำลังอารมณ์ดี รอยยิ้มอาจปรากฏขึ้นมาบิดบังความรู้สึกโกรธ รำคาญใจ หรือยิ้มเพราะหวังผลทางธุรกิจ ความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน แต่น้อยครั้งที่จะยิ้มเพราะอยากยิ้มจริง ๆ ดังนั้นรอยยิ้มคือ หน้ากาก ที่เราสวมไว้ตลอดเวลาที่อยู่ในสังคม

แต่เมื่อใดที่มนุษย์ได้กลับคืนสู่อาณาเขตดินแดนส่วนตัวอีกครั้ง หน้ากากจะถูกสลัดไปทันที ถ้ามีใครมาทำอะไรให้รู้สึกขุ่นใจ ก็จะโต้ตอบกลับไปด้วยการแสดงความรู้สึกเชิงลบออกไป เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครนอกจากตัวเอง การตอบโต้จึงมีความรุนแรง และรวดเร็ว แต่ในสภาวะตึงเครียดหรือเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกกดดันมาก ๆ หน้ากากไม่สามารถเก็บซ่อนฟฤติกรรมที่เิกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทุกครั้งที่มีเหตการณ์เริ่มจะตึงเครียดขึ้น ร่างกายจะผลิดเหงื่อออกมามากกว่าปกติ หรือถ้ารู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ มือเท้าสั่นหรือแกว่งไปมาจนไม่สามารถควบคุมได้ แต่มนุษย์จะปกปิดความผิดปกติเหล่านี้ ด้วยการเอามือมาล้วงกระเป๋า หรือหาของหนักมากดทับเอาไว้ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น



กระบวนการบิดบังความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงเป็นกระบวกการที่มีความซับซ้อนและเป็นสิ่งที่มีอยุ่ในตัวมนุษย์ตลอดเวลา ไม่สามารถยกเว้นหรือกำจัดออกไปได้ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่น แต่เมื่อใดที่มนุษย์กลับเข้าไปอยู่ในมุมมืด หรือเวลาลับตาคน จึงสามารถสลัดหน้ากากที่บิดบังเอาไว้ได้ บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถถอดหน้ากากออกได้ เพราะว่ากลัวถ้าแสดง ความรู้สึกที่แท้จริงออกไปอาจจะทำให้ผิดใจกันได้ หรือถูกคำว่า ศีลธรรม ความถูกต้อง หรือมารยาททางสังคม มากดทับเอาไว้ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะคอยบอกว่า สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ สอนว่า การคุ้ย แคะ แกะเกา ร่างกายส่วนต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เมื่ออยู่ในสังคม



การปิดบังบางอย่างก็มีผลมาจากการเรียนรู้หรือซึมซับเอาจากวัฒนธรรมประเภณีปฏิบัติของสังคมและเป็นเรื่องที่ทุกชนชาติ ทุกภาษา มีการพูดถึงกันอยู่เสมอ แต่จะแตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรม

อาการของคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ ได้แก่ จะมีท่าทีผ่อนคลายและเปิดเผย สบตาอยู่เสมอ มีรอยยิ้มที่อบอุ่น นัยน์ตาที่อ่อนโยน ส่วนคนที่ไม่ซื่อสัตย์จะมีลักษณะตากลอกไปมาตลอดเวลา กระสับกระส่าย พูดเร็ว ทำท่าจริงใจเกินไป เหงื่อแตก มีอาการสั่น เลียริมฝีปากบ่อย โน้มตัวมาข้างหน้า

คนที่กำลังใช้ความคิดหรือสนอกสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ จะมีท่าทางคล้ายคนที่กำลังกลัดกลุ้ม คือ การหยุดนิ่งเฉย ไม่เคลื่อนไหว ซึ่งแสดงถึงการมีสมาธิ ในการฟัง หรือครุ่นคิด โดยมากคนที่กำลังใช้ความคิดจะมีอาการรักษาการสัมผัสทางตาไว้ระดับคงที่ เพ่งมองไปยังวัตถุ สงบนิ่ง มือจับที่ปลายคาง กัดปากกา ดินสอ นิ้วมือหรือเล็บ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ย่นหน้าผาก เอนหลังพิงเก้าอี้ เกาศีรษะ เอามือกุมศีรษะ