วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หงุดหงิด คนเราแสดงอาการหงุดหงิดออกมา 2 ลักษณะด้วยกัน

หงุดหงิด คนเราจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมา 2 ลักษณะด้วยกัน คือการเผชิญหน้าและการยอมจำนน ถ้าเราเชื่อว่าเราไม่ใช่คนผิด ไม่ว่าเราจะหงุดหงิดเพียงใดก็ตาม เราจะวิ่งชนปัญหานั้น ๆ ทันที



แต่ถ้าเหตุการณ์กลับกัน เราคือผ่ายผิด เราก็จะยอมจำนนแทน แต่ยังรู้สึกโกรธอยู่ในใจ สำหรับคนที่มีอาการหงุดหงิดแบบเผชิญหน้า มักจะสบตาหรือจ้องเขม็ง พูดเน้นย้ำ วีลีเดิม ๆ เข้าไกล้คนอื่นในระยะประชิดตัว เขย่าแขน ชี้นิ้ว ยักไหล่ ส่วนคนที่หงุดหงิดแต่ยินยอมจำนน จะถอนหายใจ หายใจเร็ว เท้าเอว หน้าตาบูดบึ้ง เอามือประสานไว้ที่ศีรษะ หรือท้ายทอย เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าปกติ แต่เมื่อรู้สึกผิดจะมีอาการกรอกตา หรือหลับตา สั่นศีรษะ สะบัดมือ ยักไหล่ เดินหนีไป

โกรธ เมื่อคนเราโกรธมักแสดงออกมาในรูปของความก้าวร้าว

โกรธ เมื่อคนเราโกรธมักแสดงออกมาในรูปของความก้าวร้าว ปกป้องตัวเองและถอนตัวออกมา อาการก้าวร้าวเป็นฟฤติกรรมที่ควบคุมตัวเองไม่ได้



ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธ พยายามหลีกเลี่ยงการแสดงออกด้วยความก้าวร้าว อาการของคนที่กำลังโกรธจะแสดงอาการดังนี้ หน้าแดง แขนประสานกัน เท้าสะเอว หายใจถี่และเร็ว พูดคำซ้ำ ๆ กัน ชี้นิ้ว เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว เครียด กัดฟันแน่น เม้มปาก หน้านิ่วคิ้วขมวด ตัวสั่น กำหมัดแน่น หงุดหงิดจนควบคุมแขนไว้ไม่ได้ หัวเราะแบบเสียดสี โดยปกติแล้วคนที่โกรธแล้วมีท่าทีป้องกันตัว เช่นกัดฟัน ประสานมือเข้าหากัน แต่จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างฉับพลัน ทันด่วน ร่างกายจะแข็งทื่อ แขน ขา แนบติดตัว หน้านิ่งไม่สบตา



ส่วนคนที่โกรธแล้วถอนตัว เขาจะไม่สบตาและหันร่างกายไปทางอื่น เงียบ หรืออาจจะเดินออกไปให้พ้นจากบริเวณนั้น

เบื่อ มีสาเหตุมาจากความเครียด

เบื่อสาเหตุมาจากความเครียด จนทำให้ร่างกายและจิตใจเกิดความเหนื่อยล้า จึงต้องการกิจกรรมอื่นเพื่อทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกครั้ง อาการที่สังเกตได้ว่าเขากำลังเบื่อ คือ ลูกตากลอกไปมาอย่างไร้จุดหมาย เพ่งมองออกไปไกล หรือก้มมองนาฬิกาหรือสิ่งของอยู่บ่อย ๆ



ไขว้ขาและไขว้ขาสลับไปมา หักนิ้วเล่น ขยับปากกา ดินสอ หรือแว่นตาเล่น ดึงตัวออกห่างจากคนอื่น ๆ เอนตัวไปข้างหลัง โยกศีรษะไปมา ยืดแขนขา เขย่าหรือขยับแขน ขา อยู่ตลอด


วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พฤติกรรมในสาธารณะ

ใบหน้าที่แสดงออกต่อโลกภายนอก มักไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง แต่สิ่งที่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงก็คือ เสื้อผ้า การแต่งกาย ทรงผมต่างหาก เป็นที่ยอมรับกันว่า คนที่แต่งกายดูดี สะอาดสะอ้าน จังแต่งทรงผมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จะเป็นบุคคลที่สะดุดตาคนทั่ว ๆ ไป แต่ใบหน้าที่แสดงออกในที่สาธารณะ กลับเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง ที่อยู่ในใจ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง เห็นแก่ตัว



แต่ในบางเวลาซึ่งอยู่ในสภาวะที่เร่งรีบ หน้ากากที่สงบอยู่ หลุดออกมาเผยให้เห็นความชั่วร้าย ต่ำทราม ของจิตใจในชั่วขณะหนึ่ง ในเวลานั้นคนเรามักแสดงตัวจริง ๆ ออกมา มีการป้องกันตัวและแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมาจนลืมใบหน้าอันเงียบสงบ นิ่งเฉย ของหน้ากากไปทั้งหมด ฟฤติกรรมที่เผยออกมานี้ สามารถสังเกตได้ในสถานะการณ์ที่มีแต่การแข่งขันเร่งรีบ ทุกอย่างจะเผยออกมาทางใบหน้าทั้งหมด



ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม จะช่วยปิดบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เอาไว้ ในขณะที่เราพยายามควบคุมตัวเองอย่างระมัดระวัง แต่ร่างกายกลับทรยศด้วยการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ซึ่งมันเผยให้เห็นจิตใจที่แท้จริงภายใต้รอยยิ้ม

ตามธรรมชาติแล้วรอยยิ้มหมายถึง ความสุข ความพอใจ แสดงถึงการขอโทษ การป้องกันตัว หรือการขอร้องให้ยกโทษให้ วันทั้งวันที่เรายิ้ม จึงไม่ได้หมายความว่าเรากำลังอารมณ์ดี รอยยิ้มอาจปรากฏขึ้นมาบิดบังความรู้สึกโกรธ รำคาญใจ หรือยิ้มเพราะหวังผลทางธุรกิจ ความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงาน แต่น้อยครั้งที่จะยิ้มเพราะอยากยิ้มจริง ๆ ดังนั้นรอยยิ้มคือ หน้ากาก ที่เราสวมไว้ตลอดเวลาที่อยู่ในสังคม

แต่เมื่อใดที่มนุษย์ได้กลับคืนสู่อาณาเขตดินแดนส่วนตัวอีกครั้ง หน้ากากจะถูกสลัดไปทันที ถ้ามีใครมาทำอะไรให้รู้สึกขุ่นใจ ก็จะโต้ตอบกลับไปด้วยการแสดงความรู้สึกเชิงลบออกไป เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครนอกจากตัวเอง การตอบโต้จึงมีความรุนแรง และรวดเร็ว แต่ในสภาวะตึงเครียดหรือเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกกดดันมาก ๆ หน้ากากไม่สามารถเก็บซ่อนฟฤติกรรมที่เิกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทุกครั้งที่มีเหตการณ์เริ่มจะตึงเครียดขึ้น ร่างกายจะผลิดเหงื่อออกมามากกว่าปกติ หรือถ้ารู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ มือเท้าสั่นหรือแกว่งไปมาจนไม่สามารถควบคุมได้ แต่มนุษย์จะปกปิดความผิดปกติเหล่านี้ ด้วยการเอามือมาล้วงกระเป๋า หรือหาของหนักมากดทับเอาไว้ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น



กระบวนการบิดบังความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงเป็นกระบวกการที่มีความซับซ้อนและเป็นสิ่งที่มีอยุ่ในตัวมนุษย์ตลอดเวลา ไม่สามารถยกเว้นหรือกำจัดออกไปได้ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่น แต่เมื่อใดที่มนุษย์กลับเข้าไปอยู่ในมุมมืด หรือเวลาลับตาคน จึงสามารถสลัดหน้ากากที่บิดบังเอาไว้ได้ บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถถอดหน้ากากออกได้ เพราะว่ากลัวถ้าแสดง ความรู้สึกที่แท้จริงออกไปอาจจะทำให้ผิดใจกันได้ หรือถูกคำว่า ศีลธรรม ความถูกต้อง หรือมารยาททางสังคม มากดทับเอาไว้ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะคอยบอกว่า สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ สอนว่า การคุ้ย แคะ แกะเกา ร่างกายส่วนต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เมื่ออยู่ในสังคม



การปิดบังบางอย่างก็มีผลมาจากการเรียนรู้หรือซึมซับเอาจากวัฒนธรรมประเภณีปฏิบัติของสังคมและเป็นเรื่องที่ทุกชนชาติ ทุกภาษา มีการพูดถึงกันอยู่เสมอ แต่จะแตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรม

อาการของคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ ได้แก่ จะมีท่าทีผ่อนคลายและเปิดเผย สบตาอยู่เสมอ มีรอยยิ้มที่อบอุ่น นัยน์ตาที่อ่อนโยน ส่วนคนที่ไม่ซื่อสัตย์จะมีลักษณะตากลอกไปมาตลอดเวลา กระสับกระส่าย พูดเร็ว ทำท่าจริงใจเกินไป เหงื่อแตก มีอาการสั่น เลียริมฝีปากบ่อย โน้มตัวมาข้างหน้า

คนที่กำลังใช้ความคิดหรือสนอกสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ จะมีท่าทางคล้ายคนที่กำลังกลัดกลุ้ม คือ การหยุดนิ่งเฉย ไม่เคลื่อนไหว ซึ่งแสดงถึงการมีสมาธิ ในการฟัง หรือครุ่นคิด โดยมากคนที่กำลังใช้ความคิดจะมีอาการรักษาการสัมผัสทางตาไว้ระดับคงที่ เพ่งมองไปยังวัตถุ สงบนิ่ง มือจับที่ปลายคาง กัดปากกา ดินสอ นิ้วมือหรือเล็บ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ย่นหน้าผาก เอนหลังพิงเก้าอี้ เกาศีรษะ เอามือกุมศีรษะ



วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วัฒนธรรมที่ต่างกัน

แม้ว่ามนุษย์จะแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือความเป็นอยู่ แต่เราทุกคนก็สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกบางอย่างได้เหมือนกัน ด้วยการดูหรือสังเกตเอาจากสีหน้าที่แสดงอารมรณ์ออกมา แต่การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้มีการถกเถียงกันต่อไปอีกว่า มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้จากการเรียนรู้ทางสังคม หรือ เกิดจากพันธุกรรม เนื่องจากมีการค้นพบว่า กิริยาท่าทางหรือฟฤติกรรมต่าง ๆ ของผึ้งเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม



มีการสื่อความหมายผ่านทางอากัปกิริยาที่ทำให้ฝูงผึ้งค้นพบแหล่งอาหารแหล่งใหม่ได้เสมอ จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการสื่อความหมายจากการเคลื่อนไหวหรือฟฤติกรรมบางอย่างเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากการถ่ยทอดทางพันธุกรรมไม่ใช่การเรียนรู้

กระับวนการรับรู้ในสมอง เกิดจากการที่ข้อมูลในสมองเกิดขึ้นเองโดยกระทันหัน และเนื้อหาของข้อมูลนั้น จะเชื่อมโยงกับสิ่งที่กระตุ้นเกิดการแสดงออกทางสีหน้าในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ นั้น ได้แก่ ความสุข ความทุกข์ เศร้าใจ ตกใจ ประหลาดใจ โกรธ ดีใจ อับอาย เกลียดชัง เจ็บแค้น จึงสรุปได้ว่า สมองคือตัวบงการ



ควบคุมการแสดงออกทางสีหน้า มันจะควบคุมกล้ามเนื้อทุกมัด ที่อยู่บนใบหน้าเพื่อแสดงสีหน้า มันควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากให้ยกขึ้น เมื่อเรามีความสุขหรือดีใจ และบัีงคับให้มุมปากตกลงได้เมื่อรุ้สึกโกรธ ไม่พอใจ และย่นหน้าฝากเมื่อเกิดความสงสัย

ส่วนการแสดงสีหน้าที่เิกิดจากการเรียนรู้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเพณีปฏิบัติ เป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมนั้น ๆ กำหนดเป็นการตอบสนองต่อสถานะการณ์ในขณะนั้นโดยมีสภาพสังคมเป็นตัวกำหนด กฎเกณฑ์การแสดงสีหน้า สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม ลักษณะของวัฒนธรรมหรือสมาชิกในสังคม ทำให้เราต้องคอยเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ เราไม่สามารถสื่อความหมายถึงสิ่งหนึ่งในอีกสังคมหนึ่งหรืออีกวัฒนธรรมหนึ่งได้ กิริยาท่าทางหนึ่ง ก็เหมาะสมกับสภาพสังคมหรือวัฒนธรรมหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้




เพราะการสื่อความหมายอาจจะผิดพลาดได้ ในสภาพสังคมหรือวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ด้วเหตุนี้จึงสามารถสรุปรวมได้ว่า ภาษาหรือกิริยาท่าทางบางอย่างก็ไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ มันเกิดขึ้นเองตามสัญชาตญาณของเรา แต่บางอย่างต้องพึ่งพาการเรียนรุ็หรือเกิดจากการเลียนแบบซึ่งจะได้กล่าวในส่วนอื่นต่อไป

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การแสดงอำนาจ

เก้าอี้หรือโต๊ะทำงาน เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สามารถประกาศอำนาจหรืออิทธิพลของผู้นั่งเก้าอี้ได้อย่างดี คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุด สวยที่สุด สูงที่สุด จะดูมีอำนาจและอิธิพลต่อคนที่อยู่ต่ำกว่า เช่น ราชบัลลังก์ของพระมาหากษัตริย์ ธรรมาสน์เทศน์ของพระภิกษุสงฆ์ ด้วยเหตุนี้เก้าอี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการยกสถานภาพและอำนาจให้บุคคลหนึ่งได้ต้องประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้















ขนาดของเก้าอี้และอุกรณ์อำนวยความสะดวก ความสูงของเก้าอี้ จะทำให้สถานะภาพของบุคคลนั้นสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ เก้าอี้ที่มีพนักสูงจะทำให้ผู้นั้นดูมีอำนาจเหนือคนที่นั่งพนักเตี้ย ๆ เพื่อแสดงสถานะภาพของเขาต่อหน้าแขกผู้มาเยือน เก้าอี้หมุนหรือเคลื่อนไหวได้ จะแสดงอำนาจและสถานภาพได้มากกว่าเก้าอี้ขาธรรมดา





















โดยที่ผู้นั่งเก้าอี้ติดล้อจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในยามที่เขาตกอยู่ใต้สถานการณ์ที่กดดัน ส่วนเก้าอี้ที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จะทำให้ผู้นั่งไม่สามรถลดความกดดันด้วยการเคลื่อนไหวได้ และจะระบายความกดดัน ตึงเครียด ออกมาด้วยท่าทางต่าง ๆ ที่แสดงถึงความรู้สึกของคน ๆ นั้น ซึ่งต่างไปจากคนที่นั่งเก้าอี้ที่เคลื่อนที่ได้ เพียงแต่การเคลื่อนที่ของเก้าอี้ไปมาโดยไม่ต้องแสดงท่านทางออกมา ก็สามารถระบายหรือลดความตึงเครียด ความกดดันลงได้แล้ว ส่วนเก้าอี้ที่ไม่มีล้อ ไม่มีที่เท้าแขนหรือพนักพิงหลังจะทำให้คนที่รู้สึกกดดัน ไม่สามารถระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้

นักธุรกิจบางคนจะชอบนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงสูง จัดโต๊ะและเก้าอี้ให้อยุ่ในระดับที่สูงกว่าปกติ ส่วนเก้าอี้ของแขกจะถูกจัดให้อยู่ในระดับเตี้ยกว่า และตั้งอยู่ในลักษณะตรงข้าม ทำให้ผู้ที่นั่งบนเก้าอี้ของแขกต้องเงิยหน้าขึ้นมอง นี่เป็นกลยุทธ์ของนักธุรกิจที่หลอกล่อให้แขกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองกับเขาได้ หรือตกอยุ่ในสถานะการณ์ที่ต่ำกว่า นอกจากนั้นระยะห่างของคู่สนธนายังมีผลต่อความรู้สึกของผู้มาเยือนเช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่น ๆ ยิ่งเก้าอี้ของผู้มาเยื่อนอยู่ห่างจากโต๊ะของนักธุรกิจเท่าใด จะทำให้สถานะภาพของเขาลดต่ำลงจนติดดิน

การขออนุญาตบุกรุกอาณาเขตส่วนตัว

เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องบุกรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวของบุคคลอื่น จำเป็นต้องส่งสัญญาณบอกถึงความเคารพในอาณาเขตส่วนตัวของผู้อื่น ด้วยการลดสายตาต่ำลงขณะที่นั่งลงใกล้ ๆ ผู้อื่น ในกรณีที่ต้องนั่งในสภาวะที่มีผู้คนแออัดในบริเวณนั้น ควรนั่งและมองตรงไปข้างหน้าและไม่ควรหันไปมองคนข้าง ๆ แต่เมื่อไม่ต้องการให้ใครมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ก็สามารถทำได้ด้วยการหาที่นั่งอยู่ห่างไกลจากผู้คนเท่าที่จะทำได้ และนั่งให้ท่างจากคนที่อาจจะทำความรำคาญให้ได้
















หรือหาโต๊ะว่างที่สามารถนั่งได้คนเดียว แต่บางสถานะการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวยให้สามารถนั่งได้ตามลำพัง อาจใช้การนั่งที่มุมใดมุมหนึ่งของโต๊ะ ซึ่งเป็นตำแหน่งถอยหลังให้กับผู้มาใหม่ แต่บอกใบ้ให้เขารู้ว่าเขาต้องไม่เข้าใกล้หรือเข้ามายุ่งวุนวาย ส่วนคนที่ชอบจัดโต๊ะทั้งหมดให้เป็นของตัวเองมักจะเป็นคนที่มีความก้าวร้าว โดยสังเกตได้จากพฤติกรรมของเขา คนที่มีความก้าวร้าวมักจะนั่งตรงตำแหน่งกลางโต๊ะ และปฏิเสธไม่ให้ผู้ใดร่วมโต๊ะกับเขาอย่างไม่มีเยื่ยใย

พฤติกรรมทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้สามารถสรุปได้ว่า คนที่ถอยหลังให้กับผู้มาใหม่ด้วยการแบ่งให้คนอื่นร่วมโต๊ะด้วย โดยตัวเองจับจองมุมใดมุมหนึ่งของโต๊ะ ต้องการอยู่ห่างจากคนอื่นเท่าที่จะทำได้ แต่จะไม่หันหน้าไปทางประตู ไม่รังเกียจที่จะมีใครมานั่งร่วมโต๊ะ แต่ขอให้เขาอยู่ตามลำพัง

ส่วนคนที่นั่งกลางโต๊ะแสดงถึงความต้องการจับจองเป็นเจ้าของโต๊ะทั้งตัว หันหน้าไปทางประตูเพื่อเป็นการป้องกันตัว ถือสิทธิ์ในอำนาจครอบครองโต๊ะตัวนั้นและแสดงถึงความสามารถในการจัดการกับสถานะการณ์และต้องการโต๊ะสำหรับตัวเอง แต่การนั่งทั้งสองตำแหน่งนี้จะชอบนั่งด้านหลังของโต๊ะและชอบนั่งโต๊ะตัวเล็ก ๆ หรือไม่ก็โต๊ะที่ติดกำแพง















วิธีต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้ความเป็นส่วนตัว จะสะท้อนให้เห็นบุคลิกภายในของคน ๆ นั้น คนที่มีบุคลิกเปิดเผยมักแสดงความต้องการของตัวเองออกมาว่าต้องการความเป็นส่วนตัว แต่พวกชอบเก็บตัวหรือไม่กล้าแสดงความต้องการ จะพยายามดิ้นรนหาที่เป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันก็ยอมให้ผู้อื่นร่วมโต๊ะด้วย แต่ต้องมีระยะห่างพอสมควร

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระยะห่าง
















ในการแสดงอาณาเขตมองมนุษย์นั้น จะมีตัวกำหนดเขตแดนตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจน และมีระยะห่างระหว่างบุคคลอื่นที่แบ่งแยกกันไปตามลักษณะความสำพันธ์ ซึ่งระยะห่างนี้เองที่สามารถบอกได้ถึงความสำพันธ์ของคนสองคน ที่กำลังยืนพูดคุยกันอยู่ได้

1. ระยะใกล้ชิด ในระยะดังกล่าวจะมีความห่าง 15- 45 ซม. เป็นระยะที่คนเราหวงแหนมากที่สุด ราวกับว่ามันเป็นสมบัติอันล้ำค่า และมักเกิดขึ้นเมื่อมีเพศสำพันธ์หรือ กับคนที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันมาก ๆ หรือเกิดกับลูกที่ติดพ่อแม่แจ หรือเด็กที่เกาะติดกันเอง เมื่อการยืนอยู่ระยะใกล้ชิด แสดงว่าเรารุ็จักมักคุ้นฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี แต่ถ้าผู้ชายสองคน ยืนอยุ่ในระยะนี้เขาจะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว แต่ถ้าเป็นชายหญิงที่สนิทสนมกัน เป็นคู่รักกัน ระยะนี้จะเป็นระยะที่เหมาะสม และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

2. ระะยะส่วนตัว ใช้สำหรับพบปะคนรู้จักหรือเพื่อนฝูง ในระยะนี้ สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ระยะด้วยกัน คือระยะส่วนตัวที่อยู่ในระยะไกล้ชิด และพื้นที่ส่วนตัวในระยะไกล















โดยระยะใกล้จะมีระยะห่าง 45-75 ซม. เช่นการถือ หรือจับมือคนรัก ส่วนพื้นที่ส่วนตัวระยะไกลจะอยู่ในระยะห่างประมาณ 75-120 ซม. ซึ่งถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของอำนาจการยึดครอง ในระยะนี้จะเริ่มสัมผัสคนรักหรือฝ่ายตรงข้ามได้สะดวกขึ้น แต่ใกล้พอสำหรับการถกเถียงเรื่องส่วนตัว

3. ระยะห่างทางสังคม ใช้สำหรับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยหรือสนิทสนมด้วย อยู่ในระยะห่างประมาณ 1-4 เมตร มักใช้ในกรณีที่มีการเจรจาค้าขายกัน ระยะห่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ข้อดีของระยะนี้คือ จะเปิดโอกาสให้เขาได้ป้องกันตัวและป้องกันการกระทำที่ไม่สุภาพ

4. ระยะห่างของสาธารณชน ใช้ในการอยู่ในฝูงชน กลุ่มคน มีการแบ่งแยกย่อยออกเป็นระยะใกล้ ประมาณ 2-8 เมตร เป็นระยะที่เหมาะสำหรับการรวบรวมที่ไม่เป็นทางการ เช่นระยะห่างของครูกับนักเรียนทั้งห้อง และระยะไกลออกไป ซึ่งเป็นระยะตั้งแต่ 7 เมตรขึ้นไป มักใช้กับนักการเมือง เนื่องจากเป็นระะยะที่ปลอดภัยและเหมาะแก่การแสดงกิริยาท่าทางเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม โดยที่เขาอาจจะไม่ต้องพูดแต่ความจริงเสมอไป ระะยะดังกล่าวนี้เป็นระยะที่โกหกได้ง่ายที่สุด ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยจะพบการใช้ระยะห่างดังกล่าวในโรงละคร

















ความรู้สึกหนึ่งที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมากกว่าการเรียนรู้จากสังคมคือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของอาณาเขตของตน สัตว์บางจำพวกจะยึดครองอาณาเขตหรือดินแดนที่เป็นของตัวเองชั่วคราวเท่านั้น และจะเคลื่อนย้ายไปตามระยะเวลาหรือฤดูกาล แต่สัตว์บางจำพวกจะปักหลักตั้งถิ่นฐานและอยู่อย่าถาวรอยู่ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่มีการโยกย้ายไปใหนอีก ธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน พวกเราจะมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับอาณาเขตมาตั้งแต่เกิด และจะไม่มีวันจากหายไปตราบจนสิ้นอายุขัย อาณาเขตและการกำหนดเขตของตัวเอง เป็นแรงกระตุ้นจากความต้องการที่จะปกป้องดินแดนของตกเอง และแรงกระตุ้นดังกล่าวนี้ จึงทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักรักษาดินแดนของตนเอง

แต่ในสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน มนุษย์มีอาณาเขตของตัวเองถอยลงไป โดยสังเกตได้จากตามเมืองใหญ่ ๆ หรือจังหวัดสำคัญ ๆ เริ่มมีที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยมีบ้านและที่ดิน ก็มาเปลี่ยนเป็นสิ่งปลูกสร้าง ตึกสูงที่ทะยานสูงขึ้นไป จนดูเหมือนว่ามันกำลังจะทะลุขึ้นท้องฟ้าไป มนุษย์มีการเียดเสียดยัดเยียดกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งขึ้นรถลงเรือ ซึ่งหนีไม่พ้นการกระทบกระทั่ง สัมผัสถูกตัวกันบ้าง ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการีอาณาเขตของตัวเอง ไม่ชอบการรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของตัวเองหรือเข้าไกล้เรามากเกินไป

















ผลที่ตามมาจากการรุกล้ำอาณาเขตของคนในเมืองก็คือความรู้สึกอึดอัด เหมือนถูกคุกคามและส่งผลต่อสุขภาาพจิต คนในเมืองมักจะมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่กว่าคนในชนบทหรือชานเมือง

แต่ละคนจะพยายามใช้ภาษากายที่มีอยู่ทั้งหมดแสดงออกมาเมื่อเขารู้สึกว่าอาณาเขตส่วนตัวของเรากำลังถูกบุกรุก เช่น การก้าวถอยหลัง เดินหนี การโยก เขย่า แกว่งขาไปมา การเคาะนิ้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนแรกที่บอกถึงภาวะตึงเครียดและเตือนฝ่ายตรงข้ามให้รู้ตัวว่าเขากำลังถูกบุกรุกอยู่ การเข้าไปไกล้ตัวเขาทำให้เขารู้สึกอึดอัด ไม่สบาย จากนั้นก็จะมีการเตือนชุดที่ 2 ออกมา ด้วยการหลับตา ก้มหน้า จนคางชิดอก ห่อไหล่ นั่งกอดเข่า ซึ่งเป็นการบอกใบ้ว่าเขากำลังบับไล่ผู้บุกรุกให้พ้นไปจากอาณาเขตของเขา

ห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือ จะเป็นสถานที่ที่สามารถอธิบายถึงการบุกรุกได้ดีที่สุด เพราะภายในมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบและก่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวขึ้น โดยปกติแล้วคนที่เข้ามาใช้บริการของห้องสมุด จะแยกตัวจากคนอื่น ๆ พยายามนั่งให้ห่างจากคนอื่น แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวของใครสักคน เช่นเข้าไปนั่งไกล้ ๆ หรือนั่งฝ่ายตรงข้าม คนคนนั้นจะเตือนด้วยภาษากายและเริ่มป้องกันตัวเองด้วยการเปลี่ยนท่าน พยายามเตือนแล้วเปลี่ยนเป็นเดินหนีไปหาที่นั่งใหม่เงียบ ๆ เอง
















ในบางครั้งการบุกรุกอาณาเขตส่วนตัวก็ถูกตอบโต้กลับมาด้วยความรุนแรง ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่น้อยถูกรบกวนหรือถูกบุกรุกอาณาเขตส่วนตัวก่อน จึงโต้กลับไปด้วยการทำร้ายร่างกายส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะรุกล้ำอาณาเขตด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

  1. ผู้บุกรุกเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อน
  2. ผู้บุกรุกเป็นศัตรูและกำลังจู่โจม ซึ่งเมื่อถูกบุกรุกจากคนแปลกหน้า คนเราจะมีอาการดังต่อไปนี้ทันที นั่นคือ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ร่างกายหลั่งสารอะดีนาลีนออกมาสู่กระแสเลือด จากนั้นก็จะสูบฉีดขึ้นไปที่สมองและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพื่อเตรียมการต่อสู้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เมื่อใดที่เราอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังชุมนุมกันอยู่ เช่น การแสดงดนตรี มีการเบียดเสียด สัมผัดกันบ้างเล็กน้อย หรือการยืนโหนรถประจำทางที่มีผู้โดยสารเต็มและแน่นขนัด เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ เช่น จะยืนนิ่งไม่พูดจากับใครนอกจากคนที่รู้จักพยายามหลบตาคนอื่นตลอดเวลา ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกทางใบหน้า ถ้ามีหนังสือหรือข้อความเล็ก ๆ จะพยายามอ่านมัน แม้ว่าจะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม ยิ่งมีคนเยอะการเคลื่อนใหวร่างกายน้อยลง ถ้าอยู่ในลิฟต์โดยสาร จะเงิยหน้ามองแต่ตัวเลขบอกชั้นเท่านั้น




.









การเคลื่อนไหวที่เข้าไปในระยะใกล้ชิดของเพศตรงข้าม เป็นวิธีแสดงความสนใจในตัวคนนั้น และมักจะเรียกว่าการประชิดตัว แต่ถ้าก้าวเข้าไปไกล้อีกผ่ายหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพื่อรักษาระยะห่าง แต่ถ้าก้าวเข้าประชิดแล้วไม่ถูกปฏิเสธ ทั้งสองผ่ายก็จะรักษาระยะดังกล่าวเอาไว้ ดังนั้นการที่บุคคลอื่น ๆ จะยอมรับหรือปฏิเสธการรุกล้ำเข้ามาอีกฝ่าย ขึ้นอยู่กับอาณาเขตส่วนตัวของฝ่ายที่ถูกรุกล้ำว่ามีมากน้อยแค่ไหน

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อาณาเขตของสัตว์















ฟฤติกรรมอย่างหนึ่งของสัตว์ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของมันคือ
การต่อสู้ เรามักจะเห็นสัตว์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนอาจถึงขั้นมีฝ่ายใดผ่านหนึ่งต้องตายไป หรือแค่มีท่าทียอมแพ้แล้วก็แยกกันไปเอง ซึ่งคนเรามักไม่เข้าใจในการกระทำของพวกมัน กลับมองว่าพวกมันกัดกัน ก็ปล่อยให้มันกัดกันไป ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือตกใจกลัวกับภาพการต่อสู้อย่างโหดร้าย ทารุณ ป่าเถื่อน แต่ความจริงแล้วการต่อสู่กันเป็นพฤติกรรมปกติของสัตว์ สัตว์ 2 ตัวต่อสู้กันก็เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ต้องการเป็นผู้นำ

















ตัวที่มีความก้าวร้าว มีพละกำลังมากกว่า แข็งแรงกว่า ก็จะเป็นผ่ายชนะไป การการต่อสู้จะยุติลงเมื่อรู้ผลแล้วว่าผ่ายใดเป็นผู้ชนะ แม้ว่าบางครั้งการต่อสู้ไม่ได้จบลงด้วยการมีเลือดตกยางออกก็ตาม ส่วนตัวที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็จะแสดงอาการยอมแพ้ด้วยการนอนหงาย ยกเท้าขึ้น และหันคอไปทางผ่ายชนะ

ตัวที่ชนะก็จะประกาศชัยชนะด้วยการยืนคร่อมเหนือร่างผู้แพ้ แยกเขี้ยวขู่ คำรามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็จะแยกออกจากกัน และทุกอย่างก็กลับคืนสภาพปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น















สัตว์บางชนิดบางสายพันธุ์ จะต่อสู้กัน แต่จะไม่ฆ่ากันเอง การต่อสู้จะเป็นเพียงแค่สัญชาตญาณอย่างหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญ ๆ เช่น ช่วงเลือกคู่ผสมพันธุ์ ประกาศดินแดนหรืออนาเขตของตัวเอง แต่พวกมันจะหันไปโจมตีต้นไม้ที่อยู่ไกล้ ๆ แทนการโจมตีพวกพ้องกันเอง ดังนั้นพวกมันจึงต้องเรียนรู้ถึงศิลปะการต่อสู้ ซึ่งในการต่อสู้กันนี้จะมีความหมายอยู่ในตัวของมันเอง จึงเป็นหน้าที่ของพวกนันที่จะต้องตีความหมายนั้นให้ได้

การแสดงอาณาเขตและความเป็นเจ้าของ















การแสดงอาณาเขตและความเป็นเจ้าของ


จะพบว่าตัวเราเองมักแสดงอาณาเขตตัวเองให้ผู้อื่นรู้เห็นด้วย การยืนพิง สัมผัส สิ่งของหรือบุคคล เพื่อเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของออกมา อาการแสดงอาณาเขตหรือความเป็นเจ้าของมักจะ ยืนพิง วางเท้า ข้างหนึ่งบนสิ่งของ หรือใช้แขนโอบกอด เมื่อร่างกายของเขาได้สัมผัสกับสิ่งของมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาไป และเพื่อให้คนอื่นได้รู้ว่ามันเแ็นของเขาเพียงผู้เดียว คู่รักมักจะแสดงความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน ด้วยการจูงมือ หรือโอบกอนในที่สาธารณะ หรือ เมื่อมีคนกำลังมองมองดูคู่รักของตนอยู่ นอกจากจะเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ หรือการแสดงอาณาขตแล้ว การพิง นั่ง หรือใช้ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตยังแสดงถึงการข่มขู่ผู้อื่น ทำให้เจ้าของของชิ้นนั้นเกิดความรู้สึกเชิงลบได้ตั้งแต่แรกพบ















ลักษณะที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ นั่งเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นมาพาดด้วยท่าที่สงบนิ่ง ผ่อนคลาย นั่นหมายถึง เขากำลังประกาศความเป็นเจ้าของเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ และแสดงว่าเขากำลังผ่อนคลาย


ในท่าเดียวกันแต่ต่างสถานการณ์ออกไปผลที่ตามมาจะต่างออกไป ถ้าเขานั่งนิ่ง มีท่าทีตั้งอกตั้งใจฟังในสิ่งที่คู่สนทนากำลังพูด จากนั้นเริ่มเอนตัวไปข้างหลัง พิงพนักเก้าอี้แทน และยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาด แสดงว่าเขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนเดิมแล้ว แต่มันหมายถึงความไม่สนใจ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคู่สนทนาเลย และอาจจะรู้สึกเสียเวลาอยู่นิด ๆ ที่ต้องมานั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ ในขณะเดียวกัน ก็อาจจะแกลงมองหน้าผู็พูดบ้าง เพื่อไม่ให้เขาดูว่าไม่สนใจฟังเลย


แต่ถ้าพบกับคนที่กำลังแสดงความเป็นเจ้าของโดยการยกขาขึ้นพาดโต๊ะ ต้องรีบทำให้เขาเปลี่ยนท่าให้ได้ อาจจะหลอกล่อให้ต้องโน้มตัวมาข้างหน้า เพื่อให้เขาเปลี่ยนท่านั่ง และบรรยากาศการสนทนาหรือเจรจาจะดูผ่อนคลายมากขึ้น


บางคนชอบยืนเท้าประตู ซึ่งการยืนในสักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าลึก ๆ เขาเป็นคนชอบข่มคนอื่น และมีผลต่อภาพลักษณ์ของเขาเองตั้งแต่แรกพบ ดังนั้นการพบปะกับใครเป็นครั้งแรก ควรยืนในท่าตรง แบมือออกเพื่อแสดงความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น เนื่องจากความรู้สึกชั่วแวบแรกที่ได้เห็นจะเป็นสิ่งที่ถูกประมวล เป็นความรู้สึกแรกพบได้ และความรู้สึกนี้จะติดแน่นอยู่ในใจของผู้พบเห็นไปตลอดและไม่มีโอกาสที่จะลบเลือนได้เลย

การเตรียมพร้อมก่อนการอ่านใจคน



















1. พยายามใช้เวลาอยู่กับผู้คนให้มาก เพื่อหัดสังเกต เรียนรู้ ทำความเข้าใจคน เนื่องจากในปัจจุบันคนเรามักจะเหินห่างผู้คนรอบข้าง หรือคนใกล้ตัวมากไปทุกที ได้แต่ขังตัวอยู่ในหอคอยงาช้างที่สูงตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว แต่อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ต้องการสังคม ต้องมีการติดต่อสื่อสารกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจคนจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างหนึ่งของมนุษย์เนื่องจากในโลกทุกวันนี้ เทคโนโลยี ความก้าวหน้า ต่างก็ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด สร้างความสะดวก สบายให้กับชีวิตมนุษย์อย่างมากมาย จนทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไป

เราพูดคุยกันอย่างเผชิญหน้าน้อยลงไปทุกที เพราะมีโทรศัพท์เข้ามาแทนที่ วัตถุประสงค์ในการพูดคุยเปลี่ยนไปจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ เป็นการพูดคุยเพื่อข้อมูล ความเคลื่อนไหวเรื่องราวต่าง ๆ โดยละเลยเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของกันและกันไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อารมณ์ความร้สึกนั้นมีความสำคัญในการตัดสินใจไม่น้อย

















ส่วนใหญ่แล้วคนเรามักไม่ยอมเปิดเผยตัวเอง เหตผมหนึ่งนั้นมาจากความที่คนเราขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จริงอยู่ที่คนเราเป็นสัตว์สังคม มีเพื่อนฝูงมีคนรู้จักมากมาย แต่คนเหล่านั้นยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี และสร้างความคลางแคลงใจให้เราได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ นั่นเป็นเพราะเราหวาดกลัว คนเหล่านั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงการสำผัส จึงทำให้เราไม่ได้ทักษะทางสังคมบ่อยครั้งอย่างที่ควรจะเป็น

2.หัดหยุด มอง และฟัง ผู้อื่นด้วยความอดทนและตั้งอกตั้งใจ คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาไม่นานในการสังเกต รวมรวมข้อมูลผ่านตรงข้าม รีบร้อนตัดสินใจคน แต่การรีบร้อนไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเลย ไม่ว่าสิ่งที่ตัดสินใจจะถูกหรือผิด เรามีเวลามากมายที่จะใช้ตัดสินใจได้อย่างสบาย ๆ ถ้าการตัดสินใจของเรายังทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ลองยืดเวลาออกไปก่อน เพื่อให้ทุกอย่างมันกระจ่างชัดเราต้องใช้ความอดทน อดทนที่จะรอคอยหรือคิดทบทวนก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจอย่างเร่งรีบ อาจจะทำให้เราได้ข้อมูลที่ผิดพลาดซึ่งจะนำไปสู่การสรุปที่ผิดพลาด

3.ก่อนที่จะให้ใครเปิดใจนั้นเราต้องกล้าเปิดใจตัวเองเสียก่อน เพราะเขาต้องการเวลาในการอ่านเราเช่นเดียวกัน และถ้าต้องการให้เขาพูดกับเราอย่างเปิดเผย หมดเปลือก อันดับแรก เราต้องให้เขาเชื่อใจเราก่อนด้วยการแสดงออกมาว่า เราเปิดเผย จริงใจ ไม่มีอะไรปิดบังเขา เมื่อเขาได้อ่านใจเราไปบ้างแล้ว เขาก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเกิดความสบายใจ ก็กล้าเปิดใจมากขึ้น



















4. รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้าเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งที่เราปรารถนาหรือต้องการก็ไม่มีวันมาอยู่ในมือเราได้ เรามักจะไม่ค่อยใช้เวลาประเมินบุคลิกโดยรวมของคนที่เรารู้จัก เพื่อนสนิท หรือแม้แต่คนรัก และเมื่อเขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ก็มักจะทำให้เราผิดหวังกับการกระทำของเขา จากนั้นความสำพันธ์ระหว่างกัน ก็เปลี่ยนไป สาเหตุนั้นเกิดจากการที่เราใช้เวลาในการพิจารณา คิดทบทวนน้อยเกินไป จึงต้องมาผิดหวังภายหลัง การตอบโต้จึงเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกผิดหวัง โดยที่เราลืมนึกถึงความต้องการดั้งเดิมของเรา

ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจคบหาใครสักคน ไม่ว่าความสำพันธ์นั้นจะอยู่ในระดับใดก็ตาม เพื่อน คนรัก หรือคนรู้จัก จะต้องคำนึงถึงสำพันธภาพในระยะยาวเป็นหลัก ไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าเขาสามารถเข้ากับเราได้มากน้อยเพียงใด และมิตรภาพของเราจะยืนยาวหรือไม่ อย่าคิดหรือมองอะไร ๆ แคบเกินไป จริงอยู่ที่วันนี้เราและเขาอาจจะมีความสุข หน้าตจาชื่นบาน แต่ในวันข้างหน้า เราอาจจะต้องมานั่งทุกข์ใจ หน้าชื่นอกตรมแทน

5.ฝึกสร้างเป้าหมายให้กับตัวเอง เราไม่อาจจะอ่านใจคนได้อย่างถูกต้อง ถ้าเราไม่มองเขาอย่างมีเป้าหมาย เราต้องการเห็นอะไรในตัวเขา แต่ถ้าการตัดสินใจของเราเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ต่อชีวิตเรามากเท่าไร การยึดมั่นในเป้าหมาย หรือสิ่งที่ต้องการก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่าเดิมหลายเท่า เรามักใช้อารมณ์ในขณะนั้นมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจกันมาก และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเพราะอารมณ์ ทุกข์ สุข เศร้าหมอง หรืออารมณ์อื่น ๆ ทำให้เรามองข้ามภาพรวมหรือความจริงระยะยาวไป

เปรียบได้เหมือนความรัก เมื่อคนเราตกอยู่ในห้วงของความรัก น้ำต้มผักที่ขมก็หวานได้ ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ดูดีน่ารักไปหมด แต่เมื่อใดที่ความลุ่มหลงหมดไป ความจริงก็เผยออกมา จะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด เมื่อใดที่ความจริง ถูกเผยขึ้นมา เราก็จะรู้สึกเจ็บปวด ทรมานไปกับสิ่งที่ได้เห็น ได้รับรู้ แต่ถ้าเราแกล้งทำตาบอด มองไม่เห็น ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ก็อาจทำให้เราสามารถเอาชนะความจริงไปได้

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด แทนที่จะยอมรับมัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น ก็เพราะมันมักจะมีเงื่อนไขขึ้นมาทันทีที่เราเกิดความผิดหวังในตัวคนรัก เพื่อน หรือคนรู้จัก เรามักจะมองไม่เห็นนิสัยเห็นแก่ตัวของคนที่เรารัก เราจะไม่อยากให้คนที่เราไม่ชอบได้ดี และเมื่ออารมณ์ความรู้สึกกลายเป็นตัวผลักดันเราไปตามสถานการณ์ จะทำให้เป้าหมายที่เราวางไว้เปลี่ยนไป และเมื่อใดที่เรารู้สึกอ่อนไหว หรือหวั่นไหวได้ง่าย ก็จะเป็นตัวบังคับให้เราตัดสินใจออกมา และมักจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลากอยู่บ่อย ๆ

ความรู้สึกต่าง ๆ จะทำให้เราไม่กล้าเปลี่ยนแปลงนอกจากนั้นยิ่งเรารีบร้อน โอกาสที่เราจะผิดพลาดยิ่งมีมากขึ้น โดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะทำผิดพลาดเมื่อลนลานหรือรีบ บ่อยครั้งที่เรามักจะตกเป็นเหยื่อของการชักจูงภายในเงื่อนไขของเวลา ยิ่งไกล้หมดเวลาเท่าไร คนเรามักจะขาดสติ ขาดการพิจารณา และมองอะไรผิดพลาดไปหมด เพียงเพื่อให้ตัวเองสามารถผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ เมือใดก็ตามที่พบว่าเริ่มมีอาการแปลกไปจากเดิม เมื่อถูกเวลาเป็นตัวกำหนด การอ่านใจคนก็จะมีโอกาสผิดพลาดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นขอให้หยุดและมองหาทางเลือกอื่นแทน ความหวาดกลัว หรือความกลัวเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้การอ่านใจคนเกิดความผิดพลาด เนื่องจากมันจะทำหน้าที่ป้องกันความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความผิดหวัง

เรากลัวการตัดขาดความสำพันธ์ เพราะกลัวสูญเสียคนที่เรารักไป ไม่กล้าปฏิเสธงานที่เจ้านายมอบหมายให้ เพระากลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน หากเราไม่สามารถขับไล่ความกลัวออกจากจิตใจได้ ก็ควรที่จะหันกลับไปมองว่าเรากลัวอะไร และเลือกทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บป่วยน้อยที่สุด

และสุดท้าย การป้องกันตัวเองมากเกินไป จนไม่เปิดรับคนอื่น จริงอยู่คนเราไม่ต้องการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกตำหนิดติเตียน แต่เมื่อเรารู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามด้วยคำวิจารณ์ เรามักจะตอบโต้ด้วยการสร้างกำแพงขึ้นในใจ ปิดกั้นทุกสิ่งไม่ให้เข้ามาสู่จิตใจได้ ซึ่งในจุดนี้เองทำให้เราสูญเสียทักษะในการอ่านจิตใจคนไป บ่อยครั้งที่การโจมตี เริ่มต้นขึ้น คนเรามักจะขาดสติ และหันมาปกป้องตัวเอง หรือปิดหู ปิดตา ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

6.กำจัดอคติออกจากใจให้หมด ถ้าต้องการที่จะเอาชนะคนสักคน เราต้องทำตัวให้เหมือนหลอดหรือท่อน้ำ น้ำจะใหลผ่านท่อไปได้ก็ต่อเมื่อภายในท่อไม่มีสิ่งกีดขวางทางน้ำไหล เช่นเดียวกัน ตัวเราก็เป็นเหมือนท่อน้ำ อุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางคือ อคติ และความลำเอียง ดังนั้นเพื่อให้ข้อมูลของคนที่เรากำลังอ่านใจสามารถหลั่งไหลออกมาได้อย่างสะดวก เราต้องกำจัดอคติและความลำเอียงให้หมดไป

7.ตัดสินในและลงมือทำ บางครั้งเราไม่สามารถเดาใจคนได้เลย นั่นเป็นเพราะเราไม่กล้าตัดสินใจ แต่ถ้าลองพิจารณา ลองเข้าไปทำความรู้จัก ได้พูดคุยสื่อสารกับเขาดู เราจะค้นพบชิ้นส่วนสุดท้ายที่จะทำให้ สามารถตัดสินใจได้ บางคนไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวด เสียใจจากการตัดสินใจได้ คนที่ไม่กล้าเดาใจผู้อื่น มักจะชลอการตัดสินใจเอาไว้ก่อน และหลอกตัวเองว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยตัวของเขาเอง